Unilever ยักษ์ใหญ่ด้านสินค้าอุปโภคบริโภคของโลก วางแผนที่จะทดสอบการทำงานรูปแบบใหม่ โดยจะลดวันทำงานลง 20% เหลือทำงานสัปดาห์ละ 4 วัน จากปกติ 5 วัน โดยพนักงานจะได้รับเงินค่าจ้างตามปกติ
การทดสอบนี้จะเกิดขึ้นในนิวซีแลนด์ โดยจะมีพนักงานทั้งหมด 81 คนมีสิทธิ์ที่จะเข้าร่วมทดสอบ ซึ่งจะเริ่มในสัปดาห์หน้า และจะดำเนินการเป็นเวลา 12 เดือนจนถึงเดือนธันวาคมปี 2021 โดยการทดสอบครั้งนี้จะมีการทำงานร่วมกับนักวิจัยจาก Business School ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีแห่งซิดนีย์ (UTS) เพื่อวัดประสิทธิภาพ
“วิธีการทำงานแบบเดิมๆ ล้าสมัยไปแล้ว” นิค บังส์ กรรมการผู้จัดการ Unilever’s New Zealand กล่าว พร้อมเสริมว่าเป้าหมายของการทดสอบคือวัดประสิทธิภาพตามเวลาที่ส่งออกมา
การระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้พนักงาน 81 คนใน Unilever’s New Zealand ต้องทำงานจากระยะไกลได้กลายเป็นตัวเร่งที่ทำให้เกิดการทดสอบนี้ ซึ่งในนิวซีแลนด์นั้นไม่มีการผลิต พนักงานทั้งหมดอยู่ในฝ่ายการขาย ช่องทางการจัดจำหน่ายและการตลาด
การเคลื่อนไหวของ Unilever ถือเป็นความพยายามที่ท้าทายที่สุดในการทดสอบแนวปฏิบัติที่ผู้สนับสนุนกล่าวว่าทำให้พนักงานมีความสุข สุขภาพดี และมีประสิทธิผลมากขึ้น โดยบริษัทขนาดใหญ่หลายแห่งได้เริ่มทดลองใช้ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แม้ว่านักวิจารณ์จะโต้แย้งว่าการปฏิบัตินี้จะส่งผลเสียต่อธุรกิจ
Microsoft กล่าวว่าประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานเพิ่มขึ้นเมื่อเสนอให้พนักงานในญี่ปุ่นทำงานสัปดาห์ละ 4 วันในเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว ซึ่งญี่ปุ่นนั้นเป็นประเทศที่มีชั่วโมงการทำงานที่ยาวนานที่สุดในโลก ขณะที่ Shake Shack เชนเบอร์เกอร์ของสหรัฐฯ เริ่มทดลองใช้มาตรการดังกล่าวเมื่อปีที่แล้วเพื่อดูว่าสามารถช่วยในการสรรหาและรักษาพนักงานได้หรือไม่
อย่างไรก็ตาม แนวการทดสอบดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจาก อลัน โจป ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Unilever ซึ่งเขาไม่คิดว่า Unilever จะย้อนกลับไปในช่วงเวลาที่พนักงานออฟฟิศใช้เวลาในสำนักงานร้อยเปอร์เซ็นต์
“เรามองเห็นอนาคตของการทำงานแบบผสมผสาน ซึ่งผู้คนอาจใช้เวลา 2-3 วันในสำนักงาน และ 2 หรือ 3 วันที่บ้านหรือทำงานจากระยะไกล” แม่ทัพ Unilever กล่าว พร้อมเสริมว่า “สิ่งนี้ได้ปลดล็อกประสิทธิภาพการทำงานและความยืดหยุ่นอย่างมากในทีม Unilever”
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
อ้างอิง:
