วันนี้ (29 มกราคม) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 12 สมัยสามัญประจำปี ครั้งที่ 2 วาระพิจารณาเรื่องด่วน ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม พ.ศ. …. ที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นผู้เสนอ และร่างที่ สุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน และคณะ เป็นผู้เสนอ
มนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ชี้แจงหลักการและเหตุผลร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าวว่า เพื่อเป็นการสนับสนุนการให้บริการขนส่งสาธารณะ ทั้งรถไฟ, รถไฟฟ้า, รถเมล์ และเรือโดยสาร ซึ่งจัดทำมาตรฐานทางเทคโนโลยีของระบบตั๋วร่วมเป็นมาตรฐานกลาง มีการกำหนดอัตราโดยสารร่วม
รวมถึงจัดตั้งกองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วม การกำหนดผู้ประกอบการที่จะมีสิทธิ์ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วม โดยจะต้องได้รับอนุญาตตามกฎหมายฉบับนี้ และในกรณีที่มีความจำเป็น ให้ตราพระราชกฤษฎีกากำหนดให้การประกอบกิจการขนส่งสาธารณะใดเป็นกิจการที่ต้องใช้ระบบร่วม และต้องได้รับอนุญาตตามกฎหมายฉบับนี้
“เพื่อเป็นการลดค่าใช้จ่ายและอำนวยความสะดวกให้กับประชาชน โดยการใช้บัตรโดยสารใบเดียวเดินทางได้ทุกระบบของการบริการขนส่งสาธารณะ อันเป็นการสนับสนุนให้ประชาชนเปลี่ยนพฤติกรรมการเดินทาง จากขนส่งส่วนบุคคลมาเป็นการใช้ระบบขนส่งสาธารณะ โดยเป็นเป้าหมายหลักของรัฐบาล” มนพรกล่าว
ด้านสุรเชษฐ์กล่าวถึงหลักการและเหตุผลของร่างกฎหมายที่เสนอ โดยสรุปถึงข้อแตกต่างระหว่างร่างของรัฐบาลและพรรคประชาชน เพื่อชี้ให้เห็นว่าเหตุใดจึงต้องใช้ร่างของพรรคประชาชนเป็นร่างหลัก เช่น คำว่าตั๋วร่วมกับค่าโดยสารร่วม
สุรเชษฐ์ชี้ว่า คำว่า ‘ค่าโดยสารร่วม’ จะส่งผลโดยตรงกับชีวิตประชาชน หรือกรณีตั๋วร่วม 20 บาทของพรรคเพื่อไทย ซึ่งหมายถึงเฉพาะรถไฟฟ้า แต่ค่าโดยสารร่วมตามข้อเสนอของพรรคประชาชนมีราคา 8-45 บาท เพราะรวมทั้งรถไฟ, รถไฟฟ้า, รถเมล์ และเรือโดยสาร จึงต้องเขียนกฎหมายให้ครอบคลุมบริการสาธารณะทั้งหมดของประเทศ
“ร่างของพรรคประชาชนมีนิยามที่ชัดเจนขึ้น เพิ่มสัดส่วนผู้แทนประชาชนในคณะกรรมการนโยบายระบบตั๋วร่วม ร่างของพรรคประชาชนเพิ่มความชัดเจนและกลไกคำนึงถึงการบังคับใช้จริง เพิ่มหน้าที่ผู้ประกอบการระบบตั๋วร่วมให้เปิดเผยสถานะทางการเงิน เพิ่มความชัดเจนในการใช้เงินกองทุน โดยมุ่งหวังสร้างสมดุลการอุดหนุนบริการขนส่งสาธารณะ พร้อมคำนึงถึงภาระทางการคลังระยะยาว” สุรเชษฐ์กล่าว
จากนั้นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้อภิปรายแสดงความเห็นอย่างกว้างขวาง ก่อนที่มีมติเป็นเอกฉันท์เห็นชอบร่าง พ.ร.บ. ทั้ง 2 ฉบับ ด้วยคะแนนเสียงเห็นชอบ 367 เสียง ไม่มีเสียงไม่เห็นชอบ และงดออกเสียง 1 เสียง
จากนั้นที่ประชุมเห็นชอบให้ตั้งกรรมาธิการวิสามัญ 31 คน พิจารณาศึกษา ให้แปรญัตติภายใน 15 วัน และให้ใช้ร่างของ ครม. เป็นร่างหลักในการพิจารณา
