ยูนิเซฟ ประกาศ ‘7 ข้อเรียกร้องเพื่อเด็ก’ เพื่อเรียกร้องให้พรรคการเมืองต่างๆ จัดทำนโยบายที่ให้ความสำคัญกับสิทธิและความต้องการของเด็ก เพื่อให้ผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงได้เลือกอนาคตที่เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้เติบโตและพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพ
ยูนิเซฟ มองว่าความท้าทายที่ฝังรากลึกในสังคมคือความไม่เท่าเทียม ซึ่งกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือเด็ก หากนึกภาพเด็กชาติพันธุ์ในพื้นที่ห่างไกล ก็จะเห็นเด็กแรกเกิดที่น้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ ด้อยโอกาสทางเศรษฐกิจ และไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ซึ่งต้องไปหางานทำในเมือง เด็กคนนั้นจะต้องพบอุปสรรคมากมายในการเข้าถึงการศึกษา โดยเฉพาะกำแพงภาษา ตามข้อมูลการศึกษาล่าสุดของยูนิเซฟ เด็กกลุ่มนี้จะมีความเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากกว่ากลุ่มอื่นอีกด้วย
นอกจากนี้ การเข้าสู่ระบบการศึกษาก็ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าเด็กๆ จะได้รับการพัฒนาทักษะที่ต้องการ เพราะปัจจุบันมีนักเรียนระดับชั้น ป.2 และ ป.3 มากถึง 60% ที่ขาดทักษะพื้นฐานในการอ่าน และมีเยาวชนไม่ถึง 40% ที่รู้สึกว่าระบบการศึกษาสามารถช่วยให้พวกเขามีความพร้อมสำหรับตลาดงาน
ด้วยเหตุนี้ ประเทศไทยจึงต้องเร่งสร้างอนาคตที่ดีกว่าเพื่อเด็กทุกคน โดย 7 ข้อเรียกร้องของยูนิเซฟคือข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่จับต้องได้ ซึ่งจะนำไปสู่อนาคตที่ดีกว่า หนึ่งในข้อเรียกร้องที่สำคัญที่สุดคือการเพิ่มการลงทุนเพื่อเด็ก เพราะแม้ปัจจุบัน 86% ของเด็กอายุ 3-4 ปีจะได้รับการศึกษาปฐมวัย แต่ยังคงมีช่องว่างในกลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สำคัญต่อพัฒนาการทางสมอง ดังนั้นการลงทุนเพื่อให้เกิดบริการดูแลเด็กที่มีคุณภาพในราคาเข้าถึงได้จึงเป็นเรื่องสำคัญมาก
นอกจากนี้ การให้เงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดก็สำคัญอย่างยิ่งเช่นกัน แม้ปัจจุบันสวัสดิการนี้จะเข้าถึงครอบครัวที่มีรายได้น้อยจำนวนมาก แต่ก็ยังไม่ใช่ทั้งหมด ดังนั้นยูนิเซฟจึงขอสนับสนุนข้อเสนอของคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ ที่จะขยายสวัสดิการนี้ให้เป็นแบบถ้วนหน้าเพื่อครอบคลุมเด็กแรกเกิดถึง 6 ปีทุกคน รวมทั้งให้มีการเพิ่มจำนวนเงินอุดหนุนให้สอดคล้องกับค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูเด็กที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบัน
การยกระดับการศึกษามีความสำคัญต่อการพัฒนานักเรียนให้มีทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 และไทยก็ได้ให้คำมั่นเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในการประชุมสุดยอดว่าด้วยการปฏิรูปการศึกษาซึ่งจัดโดยสหประชาชาติที่นครนิวยอร์กเมื่อปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี ยังมีสิ่งที่รัฐบาลต้องดำเนินการอีกมากเพื่อพัฒนาหลักสูตรการศึกษาให้ทันสมัย และปิดช่องว่างด้านดิจิทัลที่ถ่างกว้างขึ้นในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด นอกจากนี้ ยังต้องมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอย่างเร่งด่วนเพื่อการบรรลุเป้าหมายในการพัฒนาประเทศให้เป็นเศรษฐกิจฐานความรู้
ในการสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นก็ต้องไม่ลืมกลุ่มเยาวชนอายุ 15-24 ปีจำนวน 1.4 ล้านคนที่ไม่ได้อยู่ในช่วงการทำงาน การศึกษา หรือการฝึกอบรม (Not in Employment, Education or Training-NEET) เยาวชนกลุ่มนี้ต้องการการสนับสนุนแบบครบวงจร เช่น การมีศูนย์บริการเบ็ดเสร็จเพื่อให้บริการพัฒนาทักษะ และบริการสนับสนุนในด้านต่างๆ ซึ่งรวมถึงการสนับสนุนด้านสุขภาพจิต นอกจากนี้ ความเสี่ยงของเด็กในโลกออนไลน์ก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นสำคัญ โดยมีการประมาณการว่า เด็กในประเทศไทยจำนวน 400,000 คน ถูกละเมิดทางเพศในโลกออนไลน์ แต่จำนวนผู้เสียหายที่เข้าถึงความช่วยเหลือได้กลับมีเพียงแค่หลักพันต่อปี ดังนั้นยูนิเซฟจึงขอเรียกร้องให้มีการเพิ่มการลงทุนในการให้บริการทางสังคม โดยเฉพาะการเพิ่มจำนวนนักสังคมสงเคราะห์ เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยมีสัดส่วนจำนวนนักสังคมสงเคราะห์ต่อจำนวนประชากรต่ำที่สุดในภูมิภาค
ประการสุดท้าย การขับเคลื่อนประเทศไทยไปข้างหน้าต้องไม่ทิ้งเด็กคนใดไว้ข้างหลัง โดยเฉพาะเด็กพิการ ซึ่งต้องเผชิญความท้าทายมากมาย โดย 38% ของเด็กกลุ่มนี้ไม่สามารถเข้าถึงการศึกษาได้ เนื่องจากสภาพแวดล้อมภายในโรงเรียนไม่เอื้ออำนวย นอกจากนี้ การดูแลเด็กกลุ่มดังกล่าวก็ยังพึ่งพิงสถานสงเคราะห์มากเกินไป ยูนิเซฟจึงขอเรียกร้องให้มีการปรับปรุงเกณฑ์ผู้มีสิทธิได้รับเบี้ยความพิการเพื่อให้ครอบคลุมกลุ่มที่ต้องการการสนับสนุนได้มากขึ้น รวมทั้งการส่งเสริมให้โรงเรียนมีสภาพแวดล้อมที่ครอบคลุมและเข้าถึงสำหรับเด็กพิการได้มากกว่าเดิม
ยูนิเซฟกล่าวอีกด้วยว่า ทุกคนต้องการอนาคตที่ดีกว่า สำหรับประเทศไทยควรจะศึกษาว่าพรรคการเมืองแต่ละพรรคให้ความสำคัญกับเด็กเพียงใด และมีนโยบายที่จะทำเพื่อเด็กอย่างไร เยาวชนคือผู้มีบทบาทสำคัญ กฎหมายไทยกำหนดให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ในวันเลือกตั้ง ทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้จะมีเยาวชนอายุ 18 ปีประมาณ 4 ล้านคนที่จะใช้สิทธิลงคะแนนเป็นครั้งแรก ยูนิเซฟขอเรียกร้องให้ทุกคนใช้สิทธิลงคะแนนเพื่อสิทธิของเด็กตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ซึ่งเป็นอนุสัญญาที่มีประเทศต่างๆ ร่วมให้สัตยาบันมากที่สุด รวมถึงประเทศไทยด้วย
ภาพ: Preechapanich / UNICEF Thailand