กลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ G7 เริ่มต้นบังคับใช้มาตรการกำหนดเพดานราคาน้ำมันดิบทางทะเลของรัสเซียที่ 60 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในวันนี้ (5 ธันวาคม) ท่ามกลางความพยายามเพื่อจำกัดศักยภาพของรัสเซียในการสนับสนุนด้านการเงินเพื่อทำสงครามในยูเครน
การบังคับใช้เพดานราคาน้ำมันรัสเซียดังกล่าวมีขึ้นหลัง G7 และออสเตรเลียออกแถลงการณ์ร่วมเห็นพ้องในข้อตกลงเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่สหภาพยุโรปสามารถโน้มน้าวให้โปแลนด์ตอบรับมาตรการ
อย่างไรก็ตาม รัสเซียยืนยันว่าจะไม่ปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าว แม้ว่าจะต้องตัดลดปริมาณการผลิตน้ำมันลงก็ตาม โดย อเล็กซานเดอร์ โนวัค (Alexander Novak) รองนายกรัฐมนตรีรัสเซียกล่าววานนี้ (4 ธันวาคม) ประณามความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นว่าเป็นการแทรกแซงอย่างร้ายแรงที่ขัดต่อกฎระเบียบการค้าเสรี
“เรากำลังดำเนินการเกี่ยวกับกลไกเพื่อยับยั้งการใช้เครื่องมือกำหนดเพดานราคา ไม่ว่าจะกำหนดระดับใดก็ตาม เนื่องจากการแทรกแซงดังกล่าวอาจบั่นทอนเสถียรภาพของตลาดมากยิ่งขึ้น” โนวัค ซึ่งกำกับดูแลนโยบายด้านน้ำมัน ก๊าซ พลังงานปรมาณู และถ่านหิน กล่าว
“เราจะขายน้ำมันและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมให้กับประเทศที่จะทำงานร่วมกับเราภายใต้เงื่อนไขของตลาดเท่านั้น ถึงแม้ว่าเราจะต้องลดการผลิตลงเล็กน้อย”
ก่อนหน้านี้ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ของยูเครน ได้แสดงท่าทีต่อมาตรการของ G7 และพันธมิตรว่าอ่อนเกินไปในการจำกัดเพดานราคาที่ระดับ 60 ดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับข้อตกลงจำกัดเพดานราคาน้ำมันของ G7 อนุญาตให้ส่งน้ำมันของรัสเซียไปยังประเทศบุคคลที่สาม โดยใช้เรือบรรทุกจากชาติสมาชิก G7 และ EU ตลอดจนบริษัทประกันและสถาบันสินเชื่อได้ เฉพาะในกรณีที่ซื้อน้ำมันราคาเท่ากับหรือต่ำกว่า 60 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
อย่างไรก็ตาม ผู้เล่นในอุตสาหกรรมและเจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯ กล่าวเมื่อเดือนตุลาคมว่า รัสเซียสามารถเข้าถึงเรือบรรทุกน้ำมันได้เพียงพอที่จะจัดส่งน้ำมันส่วนใหญ่ได้แม้จะเผชิญมาตรการกำหนดเพดานราคา พร้อมเน้นย้ำถึงข้อจำกัดของแผนดังกล่าวว่าอาจจะยังไม่สามารถจำกัดรายได้ในช่วงสงครามของรัสเซีย
ทั้งนี้ ภายหลังการบังคับใช้มาตรการกำหนดเพดานราคา ส่งผลให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยราคาน้ำมันดิบเบรนท์ ปรับเพิ่ม 0.6% อยู่ที่ราว 86 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลช่วงเช้าวันนี้
ขณะที่นักวิเคราะห์ชี้ว่า ราคาน้ำมันในตลาดโลกยังได้รับแรงหนุนจากการผ่อนคลายมาตรการป้องกันโควิดในบางเมืองของจีน ซึ่งอาจนำไปสู่ความต้องการใช้น้ำมันที่เพิ่มขึ้น
แฟ้มภาพ: REUTERS / Tatiana Meel
อ้างอิง: