รัฐบาลสหราชอาณาจักรเผยแพร่เอกสาร ปฏิบัติการเยลโลว์แฮมเมอร์ (Operation Yellowhammer) ซึ่งเป็นแผนรับมือเกี่ยวกับสถานการณ์เลวร้ายที่อาจเกิดขึ้น หากสหราชอาณาจักรแยกตัวจากสหภาพยุโรป (EU) แบบไร้ข้อตกลง (No-Deal Brexit) ในวันที่ 31 ตุลาคม
โดยในเอกสารเตือนว่า สหราชอาณาจักรอาจเผชิญกับวิกฤตขาดแคลนยา ราคาอาหารแพงขึ้น และเกิดจลาจลตามท้องถนน
สมาชิกรัฐสภาได้ลงมติให้รัฐบาลของนายกรัฐมนตรี บอริส จอห์นสัน เผยแพร่รายงาน ปฏิบัติการเยลโลว์แฮมเมอร์ เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ซึ่งเตือนว่า หากเกิดกรณี No-Deal Brexit จะส่งผลกระทบต่อการคมนาคมขนส่งระหว่างช่องแคบอังกฤษเป็นเวลา 3 เดือน โดยที่รถขนสินค้า 85% จะต้องผ่านพิธีการศุลกากรระบบใหม่ของฝรั่งเศสในวันเริ่มต้น Brexit
รายงานระบุด้วยว่า การขนส่งยารักษาโรคข้ามช่องแคบจะได้รับผลกระทบเช่นกัน ซึ่งจะส่งผลต่อปริมาณอุปทานยาในสหราชอาณาจักร เพราะระบบศุลกากรที่ยุ่งยากขึ้น อาจทำให้เกิดความล่าช้า โดยผลิตภัณฑ์ยา 75% มีการนำเข้าผ่านช่องแคบดังกล่าว ซึ่งผลิตภัณฑ์บางอย่างสามารถเก็บสต๊อกไว้ล่วงหน้าได้ แต่บางอย่างไม่สามารถทำได้ เนื่องจากเก็บรักษาได้ไม่นาน เพราะมีวันหมดอายุ
นอกจากยารักษาโรคแล้ว ซัพพลายอาหารสดหลายชนิดก็จะลดลงด้วย ถึงแม้อาจไม่ถึงขั้นเกิดภาวะขาดแคลนอาหารขึ้น แต่ปริมาณสินค้าที่น้อยลง บวกกับตัวเลือกที่มีจำกัด จะส่งผลให้ราคาอาหารแพงขึ้น ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้น อาจทำให้เกิดความแตกตื่นในการแย่งซื้ออาหาร จนทำให้ปัญหาขาดแคลนทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น
ส่วนกระทรวงมหาดไทยระบุในรายงานเพิ่มเติมว่า ผลลัพธ์ที่ตามมาหลัง No-Deal Brexit ก็คือจะเกิดการประท้วงขึ้นทั่วประเทศ ซึ่งทำให้ทางการต้องระดมกำลังตำรวจจำนวนมากในการรักษาความสงบเรียบร้อย และมีแนวโน้มที่จะเกิดความโกลาหลและความตึงเครียดในสังคม
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
อ้างอิง:
