ปัจจุบันสหราชอาณาจักรกำลังเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ไม่ว่าจะเป็น วิกฤตค่าครองชีพสูง, เงินเฟ้อพุ่งสูงสุดในรอบ 40 ปี, เศรษฐกิจที่กำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย และความเสียหายจากการประกาศนโยบายการคลังที่ผิดพลาด โดย Goldman Sachs วาณิชธนกิจชื่อดังคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรมีความแนวโน้มที่จะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่รุนแรงกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้
ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา รัฐบาลของ ลิซ ทรัสส์ อดีตนายกรัฐมนตรีของสหราชอาณาจักร ได้ประกาศแผนงบประมาณขนาดเล็ก (Mini-Budget) หรือมาตรการลดภาษีต่อผู้เสียภาษี และภาคธุรกิจต่างๆ รวมไปถึงโครงการช่วยเหลือด้านค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ซึ่งได้สร้างความผันผวนและปั่นป่วนอย่างมากแก่ตลาดการเงิน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- ‘เศรษฐกิจสหรัฐฯ’ อาจไม่ถดถอยอย่างน่ากังวลตามคาด ขึ้นอยู่กับตำแหน่งงานว่างและอัตราการว่างงาน
- เปิดจุดเด่น เวียดนาม หลังจ่อขึ้นแท่นประเทศที่คว้าชัยในยุค Deglobalization
- ภาระ ‘ผ่อนบ้าน’ อาจเป็นพายุลูกใหม่ซ้ำเติมเศรษฐกิจโลก เมื่อดอกเบี้ยบ้านแพงสุดรอบ 15 ปี
เนื่องจากปัญหาการขาดดุลการคลัง หนี้สาธารณะอยู่ในระดับสูง และปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด หรือที่เรียกว่าภาวะขาดดุลแฝด (ขาดดุลการคลัง พร้อมกับขาดดุลบัญชีเดินสะพัด) อาจจะทำให้ความยั่งยืนและความสามารถในการจ่ายคืนหนี้ของรัฐบาลอังกฤษมีปัญหาในอนาคต
หลังจากการประกาศแผนงบประมาณขนาดเล็ก (Mini-Budget) ส่งผลให้ค่าเงินปอนด์อ่อนค่าลงทำสถิติอ่อนค่ามากที่สุดเป็นประวัติการณ์ ที่ระดับ 1.035 ดอลลาร์ต่อปอนด์ นอกจากนี้มาตรการดังกล่าวทำให้นักลงทุนแห่เทขายพันธบัตรรัฐบาล จนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 30 ปีของสหราชอาณาจักรพุ่งขึ้นเหนือ 5% เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2002
ลำบากถึงธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ที่กำลังดำเนินนโยบายทางการเงินที่มุ่งมั่นในการสกัดเงินเฟ้อพุ่งขึ้นจากราคาพลังงาน ต้องหยุดเหยียบเบรก และกลับลำมาเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาล (Quantitative Easing: QE) โดยประกาศเข้าซื้อพันธบัตรระยะยาว เพื่อช่วยกดอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) ลง และช่วยรักษาเสถียรภาพระบบการเงิน
หลังจากนั้นเพียง 3 สัปดาห์ นโยบายดังกล่าวก็ถูกปรับเปลี่ยนกลับทิศทาง เรียกได้ว่าเป็นนโยบายที่ยูเทิร์นหันหลังกลับจากรัฐมนตรีคลังคนก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง โดย เจเรมี ฮันต์ รัฐมนตรีคลังคนใหม่ ประกอบกับการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่คือ ริชิ ซูนัค ได้คลายความตึงเครียดในตลาดการเงิน ทำให้ตลาดกลับมาสงบได้อีกครั้ง ค่าเงินปอนด์ และผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลของสหราชอาณาจักรได้กลับสู่ภาวะปกติก่อนการประกาศนโยบาย
โดยรวมแล้ว Goldman Sachs คาดว่าผลิตภัณฑ์ภายในประเทศที่แท้จริง (Real GDP) ของสหราชอาณาจักร จะลดลงประมาณ 1.5% ซึ่งถือว่าค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับในช่วงที่เกิดวิกฤติโควิดหรือวิกฤตการณ์ทางการเงิน เหตุผลเป็นเพราะว่ายังมีความช่วยเหลือจากรัฐบาลในรูปแบบของการกำหนดเพดานราคาพลังงาน (Energy Price Cap) และครัวเรือนมีเงินออมเพิ่มเติมที่อาจใช้ในยามฉุกเฉิน
อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงของการชะลอตัวทางเศรษฐกิจยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากการกำหนดเพดานราคาพลังงานสิ้นสุดในเดือนเมษายน 2023 จากเดิมที่กำหนดแผนตรึงราคาพลังงานไว้ที่ 2 ปี นอกจากนี้ สถานการณ์ในตลาดพลังงานตอนนี้ดูมีเสถียรภาพมากขึ้น แต่ก็ยังมีความเสี่ยงที่อุปทานก๊าซมีไม่เพียงพอ หากการนำเข้ากระแสไฟฟ้าจากยุโรปลดลง และด้วยเหตุนี้อาจเจอผลกระทบหนักหนาสาหัสถึงขั้นต้องปันส่วนก๊าซกันในช่วงฤดูหนาว
สิ่งนี้ส่งผลกระทบต่อนโยบายของ BOE ในอนาคตอย่างไร ?
Goldman Sachs มองว่า ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) จะต้องใช้นโยบายการเงินเข้มงวดมากขึ้น โดยล่าสุด เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายนที่ผ่านมา BOE ได้ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.75% สู่ระดับ 3%
โดยการปรับดอกเบี้ยในครั้งนี้นับเป็นการขึ้นดอกเบี้ยติดต่อกันเป็นครั้งที่ 8 และเป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยมากที่สุดในรอบ 33 ปีของ BOE นอกจากนี้ Goldman Sachs คาดว่าจะมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.75% ในเดือนธันวาคม เพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง ประกอบกับตลาดแรงงานที่ยังคงอยู่ในภาวะตึงตัว
ยิ่งไปกว่านั้น Goldman Sachs คาดว่า BOE จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อไปถึงอัตราสุดท้ายที่ระดับ 4.75% ซึ่งใกล้เคียงกับที่คาดการณ์ไว้สำหรับธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) แต่ความเสี่ยงของสหราชอาณาจักรคือ BOE อาจลงเอยด้วยการขึ้นดอกเบี้ยสู่ระดับที่ต่ำกว่านั้น ตัวอย่างเช่น หากรัฐบาลไม่ขยายการกำหนดเพดานราคาพลังงาน (Energy Price Cap) ให้เกิน 6 เดือน Goldman Sachs คาดว่าจะส่งผลทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจอ่อนแอลง และในกรณีนั้น BOE อาจขึ้นดอกเบี้ยได้ต่ำกว่าระดับ 4.75%
นับว่าเป็นบทเรียนสำคัญของสหราชอาณาจักรและธนาคารกลางอื่นๆ ทั่วโลก เพราะในบางครั้งธนาคารกลางจำเป็นต้องทำในสิ่งที่ขัดแย้งกัน เพื่อให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศมีเสถียรภาพด้านราคา และระบบการเงินที่มีเสถียรภาพ ซึ่งเป็นภารกิจหลักของธนาคารกลาง
อ้างอิง: