การแข่งขันฟุตบอลยูฟ่าซูเปอร์คัพประจำปี 2018 เป็นการเปิดศึกระหว่างเรอัล มาดริด แชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 3 สมัยล่าสุด พบกับแอตเลติโก มาดริด แชมป์ยูโรปา ลีก สมัยล่าสุด
ผลปรากฏว่าเป็นแอตเลติโก มาดริด ที่ออกสตาร์ทเกมด้วยประตูที่เร็วที่สุดของรายการด้วยเวลาเพียง 50 วินาทีของดิเอโก คอสตา ก่อนที่เรอัล มาดริด จะพลิกกลับมาขึ้นนำ 2-1 เพื่อเป็นบทพิสูจน์ว่าพวกเขายังสามารถสร้างประตูได้ แม้ว่าจะไม่มีคริสเตียโน โรนัลโด ศูนย์หน้าโปรตุเกสที่ย้ายไปร่วมทีมยูเวนตุส และซีเนดีน ซีดาน ที่ประกาศอำลาตำแหน่งผู้จัดการทีมไปแล้วก็ตาม
แต่สุดท้ายคอสตาก็ยิงประตูตีเสมอเป็น 2-2 ได้ช่วงท้ายเกม ก่อนที่ในช่วงต่อเวลาพิเศษ ซาอูล นิเกซ และโกเก้ จะยิงคนละประตู ปิดกล่องคว้าแชมป์ยูฟ่าซูเปอร์คัพในปีนี้ไปครองด้วยสกอร์ 4-2
ซึ่งนับเป็นการเก็บชัยเหนือคู่อริร่วมเมืองในรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลชิงแชมป์ยุโรปได้เป็นครั้งแรก หลังจากที่แพ้ในรอบชิงฯ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกถึง 2 ครั้งในปี 2014 และ 2016 รวมถึงเรอัล มาดริด ยังเป็นฝ่ายเขี่ยพวกเขาตกรอบรองชนะเลิศในปี 2017 อีกด้วย
โดยหลังจบเกม ดิเอโก คอสตา ผู้ยิงสองประตูในเกมนี้ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ถึงความสำคัญของชัยชนะ
“ด้วยความมุ่งมั่นและหัวใจนักสู้ของพวกเรา เราสามารถต่อกรกับทีมไหนก็ได้
“มันเป็นชัยชนะที่พวกเรารอคอยมาเป็นเวลานาน ผมมีความสุขมาก พวกเขาเอาชนะเราในรอบชิงฯ ไปได้ 2 ครั้ง เราก็ต้องการชนะรอบชิงฯ เวทียุโรปเหนือพวกเขา มันเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่จะช่วยสร้างความมั่นใจให้พวกเราสำหรับฤดูกาลนี้”
ขณะที่ความพ่ายแพ้ครั้งนี้ของเรอัล มาดริด ได้ทิ้งบทพิสูจน์ครั้งสำคัญไว้ให้กับยูเลน โลเปเตกี กุนซือป้ายแดงที่ต้องเข้ามารับบทบาทกุนซือสโมสรที่ประสบความสำเร็จในเวทียุโรปยาวนานมาถึง 3 ฤดูกาลจากซีเนดีน ซีดาน รวมถึงต้องรับมือความเปลี่ยนแปลงในแดนหน้าที่ขาดนักเตะอย่างคริสเตียโน โรนัลโด ที่ยิงไปทั้งหมด 450 ประตูจาก 438 เกมให้กับเรอัล มาดริด ก่อนที่จะตัดสินใจย้ายไปร่วมทัพยูเวนตุส
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
อ้างอิง: