คืนนี้แล้วที่แฟนฟุตบอลทั่วโลกรวมถึงในเมืองไทยของเราที่จะได้ชมเกมลูกหนังนัดสุดยอดที่มีตำแหน่งเจ้ายุโรปเป็นเดิมพัน ในศึกชิงชนะเลิศฟุตบอลยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก #UCLfinal ซึ่งเป็นการพบกันเองระหว่าง 2 สโมสรจากอังกฤษอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้และเชลซี
สองทีมที่จัดอยู่ในกลุ่มมหาอำนาจใหม่ของวงการลูกหนังเมืองผู้ดีในช่วงเกือบ 2 ทศวรรษที่ผ่านมา โดยเชลซีนั้นเคยผ่านเข้าชิงชนะเลิศมาแล้ว 2 ครั้งในปี 2008 แต่ผิดหวังเมื่อพ่ายต่อแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดไปในการดวลจุดโทษ (ยังจำลูกจุดโทษของ จอห์น เทอร์รี กันได้ไหม?) และอีกครั้งในปี 2012 คราวนี้ทำในสิ่งที่ไม่มีใครเชื่อด้วยการบุกไปล้มบาเยิร์น มิวนิกถึงถิ่น ถล่มงานปาร์ตี้ของชาวบาวาเรียและคว้าแชมป์ยุโรปสมัยแรกได้ในที่สุด
ขณะที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ที่เดินตามรอยเชลซีมาในโมเดลของการทำทีมและก้าวไปได้ไกลกว่าโดยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาสามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาครองได้ถึง 5 สมัย แต่กับถ้วยยุโรปแล้วพวกเขายังไม่สมหวัง ซึ่งนี่เป็นการผ่านเข้าชิงชนะเลิศครั้งแรก
เกมนัดนี้มีแง่มุมใดที่น่าสนใจบ้าง?
นัดชิงสโมสรยุโรปที่มีแฟนบอลอีกครั้ง
เรื่องแรกที่เป็นสิ่งที่ดีสำหรับวงการฟุตบอลคือศึกนัดชิงแชมเปียนส์ลีกในฤดูกาลนี้จะมีแฟนฟุตบอลได้กลับเข้ามาชมเกมอีกครั้งหลังจากที่ในปีที่แล้วสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 รุนแรงจนทำให้ยูฟ่าตัดสินใจปรับรูปแบบการแข่งขันใหม่เป็นแบบมินิทัวร์นาเมนต์ และให้ไปจัดใน ‘บับเบิล’ ที่ประเทศโปรตุเกสแทน
สำหรับปีนี้เดิมทีแล้วมีกำหนดการจัดนัดชิงที่สนามอตาเติร์ก สเตเดียม สนามในความทรงจำของแฟนบอลลิเวอร์พูลที่เคยคว้าแชมป์แบบ ‘Miracle of Istanbul’ ได้ แต่เนื่องจากสองสโมสรที่เข้าชิงเป็นสโมสรจากอังกฤษทั้งคู่ และสถานการณ์การระบาดภายในประเทศตุรกีทำให้ทางการอังกฤษขึ้นธงแดง ซึ่งหากใครเดินทางไปตุรกีกลับมาจะต้องถูกกักตัวเป็นระยะเวลา 14 ทำให้สุดท้ายแล้วมีการเจรจาเพื่อย้ายสนาม และมาจบที่การกลับมาแข่งที่โปรตุเกสเป็นครั้งที่ 2 เพราะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับทุกฝ่าย
เพียงแต่คราวนี้ย้ายจากสนามเอสตาดิโอ ดา ลุซ รังเหย้าของทีมเบนฟิกา มาเป็นสนามเอสตาดิโอ ดู ดราเกา ป้อมปราการสีน้ำเงินของทีมเอฟซี ปอร์โตแทน
แฟนบอลที่จะได้เข้าสนามวันนี้จะมีจำนวน 16,500 คนด้วยกันจากความจุเต็ม 50,000 ที่นั่ง โดยแฟนแมนเชสเตอร์ ซิตี้และเชลซีได้รับการจัดสรรจำนวนทีมละ 5,800 ที่นั่ง แต่ก็มีดราม่ากันพอสมควร เพราะแฟนเชลซีไม่พอใจที่ยูฟ่าบังคับให้ซื้อตั๋วแบบแพ็กเกจที่รวมตั๋วเครื่องบินแบบเช่าเหมาลำด้วย ขณะที่บางคนจองตั๋วเดินทางและที่พักแยกไปแล้ว
ที่ดูไม่ค่อยดีนักคือเมื่อคืนที่ผ่านมาแฟนบอลที่เดินทางไปถึงแล้วของทั้งสองทีมเปิดฉากวิวาทกันเองในเมืองปอร์โต สมกับเป็นแฟนบอลจากเมืองผู้ดีแท้ๆ
ไปที่ไหน เก้าอี้ลอยที่นั่น!
ความพร้อมของทั้งสองทีม? เต็มถัง!
ข่าวดีสำหรับแฟนฟุตบอลทั้งสองทีม รวมถึงกองเชียร์ผู้ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด คือวันนี้สภาพความพร้อมของทั้งแมนเชสเตอร์ ซิตี้และเชลซีอยู่ในสภาพที่เรียกได้ว่า ‘เต็มร้อย’ (Fully Fit Squads) เลยทีเดียว
ไม่มีตัวเจ็บ ไม่มีตัวแบน ไม่มีความเหลื่อมล้ำได้เปรียบเสียเปรียบใดๆ ดังนั้นจึงอยู่ที่นายใหญ่ของทั้งสองทีมอย่าง เป๊ป กวาร์ดิโอลา และ โธมัส ทูเคิล แล้วว่าจะจัดทีมอย่างไรลงสนาม
แต่ที่มีการคาดเดากันจาก UEFA.com เอง หน้าตาของทีมจะออกมาประมาณนี้
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (4-3-3): เอแดร์สัน, ไคล์ วอล์กเกอร์, จอห์น สโตนส์, รูเบน ดิอาส, โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก, แบร์นาร์โด ซิลวา, แฟร์นันดินโญ, อิลคาย กุนโดกัน, ริยาด มาห์เรซ, เควิน เดอ บรอยน์, ฟิล โฟเดน
เชลซี (3-4-3): เอดูอาร์ด เมนดี, อันเดรียส คริสเตียนเซน, ติอาโก ซิลวา, อันโตนิโอ รูดิเกอร์, เซซาร์ อัซปิลิกวยตา, จอร์จินโญ, เอ็นโกโล ก็องเต, เบน ชิลเวลล์, คริสเตียน พูลิซิช, ติโม แวร์เนอร์, เมสัน เมาท์
เทียบฟอร์มและการพบกันครั้งก่อนหน้า
ถ้าเทียบฟอร์มการเล่นในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา น่าสังเกตว่าทั้งสองทีมมีอาการ ‘แกว่ง’ ให้เห็นบ้างคล้ายๆ ใจจะลอยมาถึงนัดชิงชนะเลิศเกมนี้แล้ว เพียงแต่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ดูจะเป็นทีมที่ปิดฉากฤดูกาลได้สวยกว่า โดยเฉพาะในเกมนัดสุดท้ายที่เปิดฉากไล่ถล่มเอฟเวอร์ตันขาดลอย 5-0 ถือเป็นการ ‘อุ่นแข้ง’ ได้เป็นอย่างดี
เชลซีนั้นน่าสังเกตว่าทีมของโธมัส ทูเคิลเริ่มมีอาการ ‘เครื่องสะดุด’ โดย 6 เกมหลังสุดแพ้ถึง 3 เรียกว่าครึ่งต่อครึ่งทั้งๆ ที่ช่วงก่อนหน้านี้แทบจะไม่แพ้ใครเลย และที่เสียหายอย่างมากคือการพ่ายต่อเลสเตอร์ ซิตี้ในเกมเกมนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลเอฟเอคัพ ที่ส่งผลกระทบต่อทีมอย่างรุนแรงในเรื่องของกำลังใจ จนนัดสุดท้ายในพรีเมียร์ลีกก็ยังแพ้ต่อแอสตัน วิลลา แต่บุญรักษาได้ไปแชมเปียนส์ลีกเพราะเลสเตอร์ก็พลาดแพ้สเปอร์สเหมือนกัน
แต่หากวัดฟอร์มที่พบกันเองระหว่างสองทีมนี้ตั้งแต่ที่ทูเคิลเข้ามาคุมทีม ปรากฏว่าเชลซีเป็นฝ่ายที่เอาชนะแมนเชสเตอร์ ซิตี้ของเป๊ปได้ทั้ง 2 นัดในศึกเอฟเอคัพและในพรีเมียร์ลีก โดยทั้งสองนัดนั้นดูเหมือนว่าทีม ‘เรือใบสีฟ้า’ จะมีปัญหากับการเจาะเกมรับและการหยุดเกมรุกของเชลซีที่เหมือนพกคู่มือการใช้งานในการเล่นงานแชมป์พรีเมียร์ลีกเอาไว้ได้
จุดนี้เป็นเรื่องน่าสนุกและชวนคิดว่าเป๊ปจะหาทางเอาชนะทูเคิลได้ไหม?
เกมที่สำคัญที่สุดในรอบ 10 ปีของเป๊ป กวาร์ดิโอลา (และเจ้าของทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้)
ย้อนหลังกลับไปในช่วงเวลาเดียวกันนี้ของเมื่อ 10 ปีก่อน เป๊ป กวาร์ดิโอลา นำบาร์เซโลนาลงสนามพบกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในนัดชิงชนะเลิศแชมเปียนส์ลีก และสามารถพาทีมคว้าแชมป์ยุโรปมาครองได้อย่างสง่างามในนัดชิงที่ว่ากันว่าเป็นการชนะด้วยฟอร์มที่เหนือชั้นที่สุดในประวัติศาสตร์
หลังจากนั้นเป็นต้นมาเป๊ปไม่เคยพาทีมมาถึงจุดนี้อีกเลยไม่ว่าจะกับบาเยิร์น มิวนิกหรือแมนเชสเตอร์ ซิตี้ที่มักจะเสียท่ากระเด็นตกรอบก่อนทุกครั้งไป
ดังนั้นการเข้ามาถึงรอบชิงชนะเลิศได้อีกครั้งจึงเป็นเกมที่สำคัญที่สุดในชีวิตการคุมทีมของเป๊ปที่จะต้องพิสูจน์ฝีมือให้เห็นว่าเขาสามารถพาทีมที่ไม่มีลิโอเนล เมสซีคว้าแชมป์ยุโรปได้ด้วย ซึ่งมีการวิเคราะห์กันว่าเราจะได้เห็นการวางกลหมากที่แยบยลและสมบูรณ์แบบที่สุดจากกุนซืออัจฉริยะรายนี้
และหากเป๊ปสามารถพาทีมเป็นแชมป์ได้จริง คนที่จะมีความสุขมากที่สุดอีกคนคือ ชีค มานซูร์ บิน ซาเยด อัล นาห์ยาน ผู้เป็นเจ้าของสโมสรตัวจริงที่มีความฝันอยากจะพาสโมสรที่เขาถือครองผงาดขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของโลกฟุตบอลให้ได้
ทูเคิล = ดิ มัตเตโอคนใหม่?
เรื่องราว จังหวะชีวิต และเส้นทางของโธมัส ทูเคิลกับเชลซีที่เข้ามากอบกู้สโมสรจนสามารถเข้าชิงแชมเปียนส์ลีกได้นั้นถูกมองว่ามีความคล้ายคลึงกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปี 2012 เมื่อ โรแบร์โต ดิ มัตเตโอ อดีตกองกลางยุค 90 กลับมานำทีม ‘สิงโตน้ำเงินคราม’ คว้าแชมป์ยุโรปมาครองได้แบบไม่มีใครอยากเชื่อ
เพราะก่อนที่เขาจะมานั้นเชลซีอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่อย่างมากและดูไม่น่าจะมีโอกาสเลย แต่สุดท้ายพวกเขาก็คว้าตำแหน่งเจ้ายุโรปสมัยแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสรมาครองได้สำเร็จ
อย่างไรก็ดี ทูเคิลเองด้วยชื่อชั้นถือว่าดีกว่าดิ มัตเตโอ และปีกลายเขาก็เคยเกือบทำสำเร็จมาแล้วเมื่อพาปารีส แซงต์ แชร์กแมงเข้าชิงแชมเปียนส์ลีกครั้งแรกได้สำเร็จ แต่ไม่สามารถต้านทานความยอดเยี่ยมของบาเยิร์น มิวนิกได้
ครั้งนี้เป็นโอกาสครั้งที่ 2 ในชีวิตที่กุนซือจอมวางหมากคนนี้พร้อมจะดวลสมองกับเป๊ปอีกสักรอบ ซึ่งหากชนะจะไม่ใช่ได้แชมป์อย่างเดียว แต่จะได้ชื่อว่าเป็นคนที่ล้มเป๊ปได้ในการดวล 3 ตาติดด้วย!
ความทรงจำและคำอำลา
ในเกมสำคัญแบบนี้เรื่องที่หยิบมาคุยกันได้ไม่รู้เบื่อคือเรื่องราวที่น่าประทับใจในเส้นทางของนักฟุตบอลที่ผ่านเข้ามาถึงจุดนี้ได้
หนึ่งในเรื่องที่ทำให้แฟนบอลอิ่มเอมใจไปด้วยคือเรื่องของ เมสัน เมาท์ และ รีซ เจมส์ สองดาวรุ่งผลผลิตจากอคาเดมีของเชลซีที่เมื่อปี 2012 พวกเขายังเป็นเด็กน้อยนั่งเชียร์ทีมอยู่หน้าจอโทรทัศน์และได้แหกปากตะโกนลั่นทุ่งเมื่อทีมรักคว้าแชมป์ยุโรปมาครองได้สำเร็จ
วันนี้ทั้งเมาท์และเจมส์จะมีโอกาสได้ลงเล่นเหมือนกับรุ่นพี่ที่เคยเฝ้ามองแล้ว โดยที่ฮีโร่ที่พวกเขาเคยเฝ้าดูในวันนั้นอย่าง ดิดิเยร์ ดร็อกบา, แฟรงก์ แลมพาร์ด, จอห์น เทอร์รีจะเป็นคนที่เชียร์พวกเขาบ้าง
ขณะที่ฝั่งแมนเชสเตอร์ ซิตี้เกมนี้จะเป็นเกมนัดสุดท้ายจริงๆ ของ เซร์คิโอ ‘กุน’ อเกวโร หลังจากที่ลงสนามช่วยทีมมา 389 นัด ทำไป 260 ประตู ซึ่งเป็นที่น่าจับตามองว่าเป๊ป กวาร์ดิโอลาจะให้โอกาสเขาในการลงเล่นเป็นการสั่งลาหรือไม่ หลังจากที่ได้ร่ำลาแฟนบอลซิติเซนส์ในเกมนัดสุดท้ายของพรีเมียร์ลีกที่สนามเอติฮัด สเตเดียมและสามารถทำได้ถึง 2 ประตูด้วยกัน
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
อ้างอิง:
- https://www.uefa.com/uefachampionsleague/match/2029498–man-city-vs-chelsea/prematch/preview/
- https://www.bbc.com/sport/football/57268064
- https://theathletic.com/news/chelsea-fans-tickets-uefa-champions-league/4s6D59Fo7SAF
- https://www.eurosport.com/football/champions-league/2020-2021/champions-league-final-tactics-news-how-do-you-stop-manchester-city-here-are-a-few-options._sto8336273/story.shtml
- แมนเชสเตอร์ ซิตี้เคยผ่านเข้าชิงชนะเลิศรายการฟุตบอลสโมสรยุโรปครั้งเดียวเมื่อ 51 ปีที่แล้ว ในรายการยูฟ่าคัพ วินเนอร์สคัพ (ปัจจุบันไม่มีแล้ว) และคว้าแชมป์ได้ด้วยการชนะกอร์นิค ซาเบรอเซ
- เชลซีและแมนเชสเตอร์ ซิตี้เคยพบกันครั้งเดียวในรายการสโมสรยุโรป เป็นการพบกันในรายการคัพ วินเนอร์สคัพเช่นกันในเกมรอบรองชนะเลิศฤดูกาล 1970-71 ครั้งนั้นเชลซีชนะ 1-0 ทั้ง 2 นัดได้เข้าไปชิงชนะเลิศและเอาชนะเรอัล มาดริดคว้าแชมป์มาครองได้
- ถ้าหาก ฟิล โฟเดน ซึ่งเพิ่งอายุครบ 21 ปีเมื่อวานนี้ (28 พฤษภาคม) เขาจะเป็นนักเตะอังกฤษที่อายุน้อยที่สุดลำดับที่ 3 ต่อจาก โอเวน ฮาร์กรีฟส์ (20 ปี 123 วัน, บาเยิร์น มิวนิก) และ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ (19 ปี 231 วัน) ที่ได้เล่นในนัดชิงแชมเปียนส์ลีก ซึ่งก็คงได้ลงอยู่แล้ว