ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ลงเหลือ 3% จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัวได้ 3.8% จากปัจจัยการแพร่ระบาดโควิดสายพันธุ์โอมิครอนที่ยังมีอยู่ และแรงกดดันเงินเฟ้อที่เร่งตัวสูงหลังเกิดความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน พร้อมยังมีความเสี่ยงที่จะขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้หากสถานการณ์ยืดเยื้อ
ttb analytics ประเมินว่า การแพร่ระบาดของโรคโควิดสายพันธุ์โอมิครอนที่ยังมีอยู่ ผนวกกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ถูกแรงกดดันเพิ่มเติมจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน จะทำให้ประชาชนยังต้องระมัดระวังการใช้ชีวิตและการใช้จ่าย โดยมองว่าสงครามที่เกิดขึ้นอาจส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบโดยเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้นไม่เกิน 120 ดอลลาร์ต่อบาเรล และในกรณีที่สถานการณ์ยืดเยื้อบานปลาย ราคาน้ำมันดิบมีโอกาสปรับราคาขึ้นถึง 140 ดอลลาร์ต่อบาเรล ซึ่งทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยมีโอกาสอยู่ในระดับสูงตลอดปี 2565
โดยราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ที่เพิ่มสูงขึ้นจะส่งผ่านผลกระทบเพิ่มไปยังผู้บริโภค โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อยที่ได้รับผลกระทบทันทีและรุนแรงมากที่สุด เนื่องจากผู้บริโภคกลุ่มนี้มีสัดส่วนค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงในบ้านและการเดินทางถึง 25% ของค่าใช้จ่ายครัวเรือนทั้งหมด ซึ่งมีการปรับราคาเพิ่มขึ้นราว 15% จากปี 2564 ขณะเดียวกันยังมีสัดส่วนการบริโภคในหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์อยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะการบริโภคเนื้อสัตว์ที่มีสัดส่วนสูงถึง 20% ซึ่งปรับเพิ่มราคาขึ้นราว 8% ขณะที่ยอดขายสินค้าหมวดคงทน โดยเฉพาะรถยนต์ จะยังขยายตัวได้จากมาตรการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้าของภาครัฐ แม้ผู้ซื้อบางส่วนอาจชะลอการซื้อออกไปสาเหตุจากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน
ด้วยค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นซึ่งส่งผลให้ความเชื่อมั่นต่อสถานการณ์เศรษฐกิจช่วงระยะเวลาต่อจากนี้ไปลดลง ประกอบกับรายได้และการจ้างงานทั่วไปที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ ในขณะที่ภาระหนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูง จึงมองว่าการบริโภคภาคเอกชนของไทยโดยรวมจะฟื้นตัวล่าช้าที่ 2.7% แม้จะได้รับแรงพยุงบางส่วนจากมาตรการกระตุ้นฯ ของภาครัฐ
ขณะเดียวกันราคาน้ำมันที่แพงขึ้นจะส่งผลให้การท่องเที่ยวภายในประเทศลดลง โดยกระทบต่อกิจกรรมและการเดินทางในช่วงสงกรานต์ อีกทั้งนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ทยอยเดินทางเข้าไทยหลังเปิดประเทศส่วนใหญ่เป็นชาวยุโรปมากถึง 45% และชาวรัสเซีย 7% ซึ่งความไม่มั่นคงในภูมิภาคยุโรปจะส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยลดลง และคาดว่าในปี 2565 จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยเพียง 4.5 ล้านคน
ด้านการส่งออกและนำเข้าสินค้าของไทยจะได้รับผลกระทบทางตรงจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน และการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นอย่างจำกัด เนื่องจากมูลค่าการส่งออกโดยตรงของไทยไปรัสเซียและยูเครนมีสัดส่วน 0.45% จากมูลค่าการส่งออกทั้งหมด โดยสินค้าส่งออกจากไทยไปยังรัสเซียที่จะได้รับผลกระทบสูงสุด คือ หมวดยานยนต์และชิ้นส่วน (30% ของมูลค่าส่งออกไปรัสเซียทั้งหมด) จากปัญหาห่วงโซ่การผลิตที่รุนแรงขึ้นและการขนส่งสินค้าที่อาจสะดุดตัวชั่วคราว ขณะที่การนำเข้าโดยตรงจากรัสเซียจะได้รับผลกระทบผ่านราคานำเข้าที่พุ่งสูงขึ้นและการขาดแคลนสินค้าในกลุ่มปุ๋ยเคมี (8% ของการนำเข้าปุ๋ยทั้งหมดของไทย) น้ำมันดิบ (3% ของการนำเข้าน้ำมันดิบ) และเหล็ก (2% ของการนำเข้าเหล็ก) รวมไปถึงการนำเข้าธัญพืชจากยูเครนด้วย เช่น ข้าวสาลี (13% ของการนำเข้าข้าวสาลีของไทยทั้งหมด)
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบทางอ้อมต่อไทยจะมีมากกว่า โดยการส่งออกจะได้รับผลผ่านเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง และการนำเข้าจะถูกกระทบจากปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบในห่วงโซ่อุปทานการผลิตของคู่ค้าสำคัญของไทย คือ 27 ชาติสมาชิกสหภาพยุโรป และสหรัฐอเมริกา (รวมกัน 23% ของการส่งออกไทยทั้งหมด) ซึ่งประเทศเหล่านี้พึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบ โดยเฉพาะเหล็ก เคมีภัณฑ์ และพลังงานจากรัสเซียและยูเครนมาก ดังนั้นในระยะถัดไปนอกจากจะเห็นการชะลอตัวในปริมาณการนำเข้าของไทย โดยเฉพาะหมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์จากสหรัฐฯ และยุโรปแล้ว ปริมาณการส่งออกสินค้าของไทยก็จะชะลอตัวลงเช่นกัน แต่เนื่องจากราคาส่งออกจะปรับสูงขึ้นมากตามต้นทุนที่เร่งตัว จึงประเมินว่ามูลค่าการส่งออกของไทยปี 2565 จะอยู่ที่ราว 287 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเพิ่มขึ้น 5.8%
ดังนั้นภาระต้นทุนในประเทศที่สูงขึ้นพร้อมกับความต้องการภายในประเทศและเศรษฐกิจภาคต่างประเทศที่ชะลอตัวลง จะส่งผลให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนและกิจกรรมการลงทุนภาคเอกชนมีทิศทางลดลงเช่นกัน อีกทั้งการระมัดระวังในการจ้างงานใหม่เพื่อควบคุมต้นทุน ttb analytics จึงประเมินว่าเศรษฐกิจไทยปี 2565 จะขยายตัวที่ 3.0% ซึ่งเป็นทิศทางฟื้นตัวจากวิกฤตโควิดช้าลงกว่าที่เคยประเมินไว้เดิม
ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยงจะขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้ หากสถานการณ์ความขัดแย้งในยุโรปยืดเยื้อบานปลาย และเกิดการระบาดของโควิดสายพันธุ์ใหม่ที่รุนแรง ซึ่งจะส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์และพลังงานในตลาดโลกและตลาดในประเทศทรงตัวระดับสูงนานกว่าที่ประเมินไว้ กิจกรรมภาคธุรกิจไทยก็อาจลดลงมากกว่าที่คาดจากสาเหตุการปรับต้นทุนสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อระดับการจ้างงานในอนาคต
ราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นหลังเกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศในช่วงนี้ ส่งผลให้ภาคธุรกิจไทยที่ใช้พลังงานหรือวัตถุดิบนำเข้าจากต่างประเทศ ได้แก่ ปุ๋ยเคมี ข้าวโพด ถั่วเหลือง และโลหะต่างๆ จำเป็นต้องเผชิญกับภาวะต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นและผันผวนมากขึ้น ขณะที่การปรับราคาสินค้าขึ้นยังทำได้น้อยกว่าการเพิ่มขึ้นของต้นทุนตามการบริโภคที่มีแนวโน้มชะลอตัวและการท่องเที่ยวที่จะฟื้นตัวช้าออกไป ความเสี่ยงด้านต้นทุนและด้านการตลาดของภาคธุรกิจจึงเพิ่มมากขึ้น และส่งผลให้ภาคธุรกิจจำต้องมีความระมัดระวังในการตัดสินใจขยายการลงทุน โดยเฉพาะธุรกิจอาหาร สินค้าอุปโภคบริโภค และภาคก่อสร้าง
ภาคธุรกิจจึงมีความจำเป็นต้องเร่งปรับตัว โดยการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและการขนส่ง การทำตลาดออนไลน์เพื่อเจาะตลาดใหม่ๆ และบริหารสต๊อกสินค้าให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ซึ่งจะเป็นปัจจัยช่วยรักษาการเติบโตและความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจเอาไว้ได้ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP