ธนาคารทหารไทยธนชาต หรือ ttb แจ้งผลประกอบการปี 2567 มีกำไรสุทธิ 21,031 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% จากปี 2567 ขณะที่ไตรมาส 4/67 มีกำไรสุทธิที่ 5,112 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทยธนชาต หรือ ttb เปิดเผยว่า สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2567 โดยรวมถือว่าเป็นไปตามเป้าหมาย ทั้งนี้ ในการรับมือกับภาวะเศรษฐกิจและความไม่แน่นอนจากปัจจัยภายนอก ซึ่งส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมธนาคารทั้งในด้านรายได้และคุณภาพสินทรัพย์ โดย ttb มุ่งเน้นการบริหารจัดการด้านต้นทุนและรายได้ให้สอดคล้องกัน
พร้อมทั้งดูแลคุณภาพสินทรัพย์ในเชิงรุก ควบคู่ไปกับการให้ความช่วยเหลือลูกค้าอย่างต่อเนื่อง นอกจากนั้นยังให้ความสำคัญกับการบริหารส่วนทุน (Capital Management) เพื่อให้การใช้ส่วนทุนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้น
สำหรับการบริหารต้นทุน ธนาคารในความสำคัญกับ 3 ด้านหลัก ได้แก่ การบริหารต้นทุนทางการเงินผ่านการบริหารพอร์ตสินทรัพย์และหนี้สินอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การปรับโครงสร้างสินเชื่อให้มีความเหมาะสม การเติบโตของเงินฝากให้สมดุลกับแนวโน้มด้านสินเชื่อ รวมถึงการปรับกลยุทธ์พอร์ตเงินลงทุนเพื่อให้ได้รับประโยชน์ทิศทางดอกเบี้ยในตลาดเงิน
ปี 2567 มีลูกค้าโครงการรวบหนี้กว่า 37,000 ราย
อีกทั้งการควบคุมต้นทุนความเสี่ยงหรือค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองฯ โดยที่ผ่านมาธนาคารเน้นย้ำการเติบโตสินเชื่อที่มีคุณภาพและเน้นกลุ่มที่ธนาคารมีความชำนาญและเข้าใจความเสี่ยงเป็นอย่างดี พร้อมกันนั้นก็แก้ปัญหาหนี้เสียในเชิงรุกและให้ความช่วยเหลือลูกค้าผ่านหลากหลายโครงการ เช่น โครงการตั้งหลัก โครงการคุณสู้เราช่วย รวมไปถึงโครงการรวบหนี้ โดยในปี 2567 มีลูกค้าที่เข้าร่วมโครงการรวบหนี้แล้วกว่า 37,000 ราย เพิ่มขึ้นจากระดับ 17,000 ราย ณ สิ้นปี 2566 เทียบเท่ากับว่าธนาคารสามารถช่วยลูกค้าลดภาระดอกเบี้ยไปได้กว่า 2,100 ล้านบาท
ทั้งนี้ จากการดำเนินการดังกล่าว สถานการณ์ด้านคุณภาพสินทรัพย์จึงมีเสถียรภาพและเป็นไปตามเป้าหมาย สินเชื่อด้อยคุณภาพลดลง 5% จากปีก่อนหน้า และอัตราส่วนหนี้เสียลดลงมาอยู่ที่ 2.59% จาก 2.62% ในปี 2566 ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองฯ ลดลง 11% จากปีก่อน ถือเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยหนุนผลการดำเนินงานในปี 2567 ทั้งนี้ แม้ค่าใช้จ่ายตั้งสำรองฯ จะลดลง แต่อัตราส่วนสำรองฯ ต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพฯ ซึ่งสะท้อนความสามารถในการรองรับความเสี่ยงยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 151%
นอกเหนือจากนั้นธนาคารยังเดินหน้าตามแผนการบริหารส่วนทุนให้มีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นปรับโครงสร้างส่วนทุนให้มีความเหมาะสม เช่น การไถ่ถอนตราสารหนี้ที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 และลดขนาดการออกตราสารหนี้ที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 2 ที่สำคัญคือการบริหารการใช้เงินทุนส่วนเกิน (Excess Capital) ให้เกิดประโยชน์ผ่านหลายแนวทาง ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มอัตราเงินปันผลขึ้นมาแตะระดับ 60% เทียบกับระดับ 30-35% ในช่วงก่อนรวมกิจการ
Due Diligence ศึกษาซื้อหุ้น บล.ธนชาต-ที ลีสซิ่ง
รวมถึงการสร้างโอกาสในการเติบโตผ่านการเข้าซื้อหุ้นในกิจการที่ส่งเสริมกัน โดยปัจจุบันธนาคารได้เข้าทำ Non-Binding MOU และอยู่ในขั้นตอนการทำ Due Diligence เพื่อพิจารณาการเข้าซื้อหุ้นในบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ธนชาตและบริษัท ที ลีสซิ่ง การดำเนินการเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจของธนาคารในการสร้างมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้นทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
สำหรับผลการดำเนินงานรายการหลักๆ ในไตรมาส 4/67 และทั้งปี 2567 มีดังนี้ สินเชื่อ ณ สิ้นไตรมาส 4/67 อยู่ที่ 1,241 พันล้านบาท ชะลอลง 1% จากไตรมาส 3/67 (QoQ) และชะลอตัว 6.6% จากสิ้นปี 2566 สอดคล้องกับแนวทางการเติบโตสินเชื่ออย่างรอบคอบ
โดยสินเชื่อกลุ่มเป้าหมายยังคงขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องตามแผนการปรับโครงสร้างสินเชื่อไปยังกลุ่มสินเชื่อรายย่อย ทั้งนี้ การลดลงของสินเชื่อรวมมีสาเหตุหลักจากการชำระคืนหนี้ของกลุ่มลูกค้าธุรกิจรายใหญ่และการชะลอตัวของสินเชื่อเช่าซื้อ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากภาวะตลาดรถยนต์ที่ยังคงหดตัว รวมถึงการบริหารหนี้เสียเชิงรุกผ่านการขายและตัดหนี้สูญ ซึ่งทำให้ยอดหนี้เสียลดลง 5%YTD
ด้านเงินฝากไตรมาส 4/67 อยู่ที่ 1,329 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.5%QoQ ตามการขยายตัวของเงินฝากกระแสรายวันและเงินฝากออมทรัพย์ แต่ชะลอลง 4.2% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ส่วนใหญ่เป็นการลดลงในกลุ่มเงินฝากต้นทุนสูง ซึ่งเป็นไปตามแผนบริหารสภาพคล่องและเพื่อให้สมดุลกับแนวโน้มการเติบโตสินเชื่อใหม่ ขณะที่เงินฝากจากลูกค้ารายย่อยยังคงขยายตัวได้ต่อเนื่องตามแผน เช่น เงินฝาก ttb all free ทั้งนี้ ด้านสภาพคล่องยังคงอยู่ในระดับสูง สะท้อนได้จากอัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝาก (LDR) ซึ่งอยู่ที่ 93%
ในไตรมาส 4/67 มีรายได้จากการดำเนินงานรวมอยู่ที่ 17,133 ล้านบาท ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอยู่ที่ 7,496 ล้านบาทในไตรมาส 4/67 รวมทั้งปี 2567 มีรายได้จากการดำเนินงานทั้งสิ้น 69,399 ล้านบาท ลดลง 2.2% เมื่อเทียบกับปี 2566
สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานปี 2567 อยู่ที่ 29,571 ล้านบาท ลดลง 4.9% จากปี 2566 ส่งผลให้อัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ในปี 2567 อยู่ที่ 42.6% ลดลงจาก 43.6% ในปีก่อนหน้า เป็นไปตามกรอบเป้าหมาย
ด้านค่าใช้จ่ายตั้งสำรองฯ มีจำนวน 4,690 ล้านบาทในไตรมาส 4/67 รวมทั้งปี 2567 ดำเนินการตั้งสำรองฯ ทั้งสิ้น 19,852 ล้านบาท ลดลง 10.6% จากปี 2566
ฐานะเงินกองทุนยังอยู่ในระดับสูง
ด้านฐานะเงินกองทุนยังคงอยู่ในระดับสูงและมีเสถียรภาพ โดย ณ สิ้นไตรมาส 4 ของปี 2567 อัตราส่วนเงินกองทุนรวม (CAR) อยู่ที่ 19.3% และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 (Tier 1) อยู่ที่ 16.9% ยังคงสูงเป็นลำดับต้นๆ ของอุตสาหกรรม และสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของธนาคารกลุ่ม D-SIBs ที่ ธปท. กำหนดไว้ที่ 12% สำหรับ CAR และ 9.5% สำหรับ Tier 1
สำหรับปี 2568 จะยังคงมุ่งมั่นและเน้นย้ำการดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบภายใต้กรอบ B+ESG เพื่อสร้างการเติบโตที่มีคุณภาพ สามารถสร้างประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้เสีย รวมทั้งสานต่อพันธกิจมุ่งมั่นให้ลูกค้ามีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้น (Financial Well-being) พร้อมทั้งเดินหน้าสนับสนุนแนวทางการให้สินเชื่ออย่างเป็นธรรม (Responsible Lending) และมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน