โดนัลด์ ทรัมป์ เตือน เจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (Fed) อย่าลดอัตราดอกเบี้ยก่อนการเลือกตั้ง ระบุ หากได้รับเลือกจะให้พาวเวลล์อยู่ในตำแหน่งต่อ หากพาวเวลล์ ‘ทำสิ่งที่ถูกต้อง’ ด้านนักวิเคราะห์หวั่น ทรัมป์ชนะอาจดันเงินเฟ้อทั่วโลก
โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากพรรครีพับลิกัน ให้สัมภาษณ์กับ Bloomberg ว่า Fed อาจจะลดอัตราดอกเบี้ยก่อนการเลือกตั้งในวันที่ 5 พฤศจิกายนนี้ พร้อมระบุว่า การลดดอกเบี้ย ‘เป็นสิ่งที่พวกเขา (Fed) รู้ว่าไม่ควรทำ’
ท่ามกลางความกังวลที่เพิ่มขึ้นในตลาดที่ว่าทรัมป์อาจแทรกแซง (Politicise) Fed โดยเริ่มจากการพยายามบีบพาวเวลล์ออกจากตำแหน่งก่อนจะหมดวาระในปี 2026 ซึ่งทรัมป์ได้ตอบกรณีนี้ว่า ตนจะปล่อยให้พาวเวลล์อยู่ในตำแหน่งต่อจนหมดวาระหากพาวเวลล์ ‘ทำสิ่งที่ถูกต้อง’
ทั้งนี้ การสัมภาษณ์กับ Bloomberg เกิดขึ้นในช่วงปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา แต่เผยแพร่ในระหว่างการประชุมพรรครีพับลิกันในเมืองมิลวอกีเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (16 กรกฎาคม)
โดยเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (15 กรกฎาคม) พาวเวลล์เพิ่งกล่าวว่า Fed ได้รับความเชื่อมั่นมากขึ้นว่าอัตราเงินเฟ้อกำลังผ่อนคลายลงสู่เป้าหมายของ Fed ที่ 2% นับเป็นการเพิ่มความคาดหวังว่า Fed อาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2020 ในการประชุมเดือนกันยายนนี้ หรือเพียง 6 สัปดาห์ก่อนการเลือกตั้ง
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2017 แม้ทรัมป์ได้เสนอชื่อพาวเวลล์ให้ดำรงตำแหน่งประธาน Fed ต่อ แต่ทรัมป์กลับโจมตีพาวเวลล์ซ้ำแล้วซ้ำอีกในระหว่างดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี เนื่องจากการไม่ลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed ท่ามกลางสงครามการค้า โดยครั้งหนึ่งทรัมป์เคยถามประธาน Fed ว่าเป็นศัตรูตัวฉกาจของสหรัฐฯ มากกว่า สีจิ้นผิง ประธานาธิบดีของจีนหรือไม่
นอกจากนี้ในการสัมภาษณ์ระหว่างการหาเสียง ทรัมป์ยังโจมตีประธานาธิบดีโจ ไบเดน ในประเด็นเรื่องเศรษฐกิจ ‘อย่างไม่ลดละ’ พร้อมกล่าวว่าไบเดนทำให้อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น
Trump 2.0 อาจดันอัตราเงินเฟ้อทั่วโลกทะยานอีกรอบ
ด้าน CNBC รายงานว่า นักวิเคราะห์หลายคนเตือนว่าหากทรัมป์ได้รับเลือกดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 อาจเป็นข่าวร้ายสำหรับเงินเฟ้อทั่วโลก เนื่องจากนโยบายของทรัมป์ที่ให้ความสำคัญกับสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก (America First Policies) จะทำให้ต้นทุนทั่วโลกสูงขึ้น
โดยนักวิเคราะห์กล่าวว่า นโยบายเพิ่มภาษีศุลกากรและลดอัตราภาษีอื่นๆ ให้ต่ำ ซึ่งเป็นนโยบายหลักของทรัมป์ในสมัยแรก จะสร้างความเสียหายมากยิ่งขึ้นหากใช้ในครั้งนี้
“มีความเสี่ยงที่ใหญ่ขึ้นว่านโยบายของทรัมป์จะทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้นในสมัยที่ 2 มากกว่าในสมัยแรก” ไมเคิล เมตแคฟ (Michael Metcalfe) หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์มหภาคที่ State Street Global Markets กล่าวกับ Squawk Box Europe ของ CNBC เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาว่า
ทั้งนี้ ตามหลักการการกำหนดภาษีศุลกากรที่สูงมักถูกมองว่าจะผลักดันเงินเฟ้อ เนื่องจากจะทำให้ต้นทุนสินค้านำเข้าสูงขึ้น ทำให้ผู้ผลิตในประเทศอาจเพิ่มราคาได้ ส่งผลให้ผู้บริโภคต้องจ่ายเงินมากขึ้น ขณะที่การลดภาษีอื่นๆ ในประเทศก็อาจสามารถกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภคได้ ส่งผลให้ต้นทุนสินค้าและบริการสูงขึ้นเช่นกัน
แม้ว่าทั้งประธานาธิบดีโจ ไบเดน และทรัมป์ ต่างส่งสัญญาณว่าจะขึ้นภาษีศุลกากรกับสินค้าจีนหากได้รับเลือก อย่างไรก็ตาม การสำรวจความคิดเห็นของนักเศรษฐศาสตร์เมื่อเร็วๆ นี้ชี้ให้เห็นว่า ส่วนใหญ่มองว่าอัตราเงินเฟ้อจะพุ่งสูงขึ้นภายใต้การนำของทรัมป์ เนื่องจากจุดยืนกีดกันทางการค้าที่เข้มงวดกว่า ขณะที่อัตราเงินเฟ้อที่คาดว่าจะสูงขึ้นภายใต้วาระที่ 2 ของไบเดน น่าจะมีสาเหตุมาจากแพ็กเกจการใช้จ่ายทางการคลังจำนวนมาก
อัตราเงินเฟ้อสูงอาจส่งผ่านสู่ ‘เอเชีย-ยุโรป’
อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นอาจถูกส่งผ่านเข้าสู่เอเชียได้เช่นกัน โดย กาเรตห์ นิคอลสัน (Gareth Nicholson) จาก Nomura กล่าวกับ CNBC ว่า การดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของทรัมป์ (Trump Presidency) จะถือเป็น ‘ปัจจัยเสี่ยงเชิงลบ’ โดยรวมสำหรับหุ้นเอเชีย
“หากพิจารณาในระดับมหภาค จะเกิดภาวะเงินเฟ้อสำหรับเศรษฐกิจโลก (บางทีอาจถึงขั้น Stagflationary หรือเศรษฐกิจซบเซาแต่เงินเฟ้อสูง) และจะเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทานมากขึ้นในเอเชีย” นิคอลสันระบุ
สำหรับในยุโรป Goldman Sachs คาดการณ์ว่า Trump Presidency อาจกระตุ้นอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น 0.1% เนื่องจากภาษีศุลกากรที่สูงขึ้นส่งผลต่อการค้าโลก
อ้างอิง: