โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ลงนามออกคำสั่งพิเศษ เพื่อกำหนดค่าธรรมเนียมการยื่นขอวีซ่า H-1B สำหรับแรงงานต่างชาติที่มีทักษะสูงในอัตราที่สูงลิ่ว ถึง 1 แสนดอลลาร์ (ราว 3.6 ล้านบาท) ต่อครั้ง จากเดิมที่คิดค่าธรรมเนียมเพียง 215 ดอลลาร์ (ราว 6.8 พันบาท) สำหรับค่าลงทะเบียนจับสลาก และอีก 780 ดอลลาร์ (ราว 2.4 หมื่นบาท) สำหรับการยื่นขอสปอนเซอร์ เรียกได้ว่าคำสั่งดังกล่าวสร้างภาระมหาศาลให้กับหลายบริษัทยักษ์ใหญ่
ทันทีที่ข่าวนี้เผยแพร่ออกไป ก็ส่งผลให้ราคาหุ้นของบริษัทที่ปรึกษาด้านไอทีร่วงลงทันที โดย Cognizant ร่วงลง 4.7% และ Infosys ร่วงลง 3.4% เนื่องจากมาตรการนี้ถือเป็นการเพิ่มต้นทุนในการจ้างแรงงานทักษะสูงจากต่างประเทศ
วิล ชาร์ฟ เลขาธิการทำเนียบขาว ชี้แจงว่ามาตรการดังกล่าวจะช่วยให้มั่นใจได้ว่า บุคลากรที่นายจ้างนำเข้ามาเป็นแรงงานที่มีทักษะสูงจริงๆ และไม่สามารถหาแรงงานชาวอเมริกันมาทดแทนได้ ขณะที่ ฮาวเวิร์ด ลัทนิค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ก็เน้นย้ำว่าจะไม่มีบริษัทเทคโนโลยีไหนสามารถนำแรงงานต่างชาติเข้ามาฝึกอบรมได้อีกต่อไป หากต้องการพัฒนาบุคลากรก็ควรจะรับเด็กจบใหม่จากมหาวิทยาลัยชั้นนำในสหรัฐฯ มาพัฒนามากกว่า
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
นอกจากมาตรการเข้มงวดต่อวีซ่า H-1B แล้ว ทรัมป์ยังได้เปิดตัวโครงการใหม่ที่เรียกว่า ‘Gold Card’ ซึ่งเป็นวีซ่าพิเศษสำหรับผู้ที่พร้อมจะจ่ายเงินจำนวน 1 ล้านดอลลาร์ โดยเงินทั้งหมดจะนำเข้ากระทรวงการคลัง หรือสามารถจ่าย 2 ล้านดอลลาร์ เพื่อลงทุนในบริษัทที่สนับสนุนแรงงานต่างชาติ โดยทรัมป์เปรียบเทียบโครงการนี้ว่าเหมือนกับ ‘โบนัสเซ็นสัญญา’ ของนักกีฬา ที่จะช่วยให้บริษัทสามารถดึงคนเก่งให้อยู่ต่อในสหรัฐฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้จากข้อมูลในปีที่ผ่านมา ระบุว่า สหรัฐฯ อนุมัติคำขอ H-1B ไปแล้วกว่า 400,000 รายการ โดยส่วนใหญ่เป็นการต่ออายุ และแรงงานกลุ่มใหญ่ที่สุดคือชาวอินเดีย ซึ่งคิดเป็นเกือบ 75% ของจำนวนทั้งหมด แน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จึงอาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐฯ และอินเดียที่ปัจจุบันก็มีความตึงเครียดกันอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม นโยบายวีซ่า H-1B นี้กลายเป็นประเด็นทางการเมืองที่สร้างความแตกแยกอย่างชัดเจน ซึ่งทรัมป์และทีมบริหารยืนยันว่าการใช้งานวีซ่า H-1B ที่มากเกินไป ทำให้แรงงานชาวอเมริกันเสียโอกาส
ในขณะที่ผู้สนับสนุนอย่าง อีลอน มัสก์ มองว่าวีซ่านี้เป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนนวัตกรรมและเศรษฐกิจของประเทศ โดยก่อนหน้านี้ในสมัยการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีครั้งแรก ทรัมป์ก็เคยสั่งระงับโครงการนี้เป็นการชั่วคราวมาแล้วหนึ่งครั้งเพื่อควบคุมแรงงานต่างชาติ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าทรัมป์เด็ดขาดต่อประเด็นนี้มาโดยตลอด
อ้างอิง:
