ในช่วงครบรอบ 3 ปีของการบุกยูเครนของรัสเซียในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ [2025] นั้น ถ้อยแถลงและการกระทำของรัฐบาลทรัมป์ ทำให้เกิดภาพลักษณ์ว่า ทรัมป์ได้เตรียมที่จะหักหลังประเทศที่ตกเป็นเหยื่อจากการบุกอันโหดร้าย [ของรัสเซีย] และเขาได้สูญเสียประสิทธิภาพของพันธมิตร [อเมริกัน] ที่ดำรงอยู่มาอย่างยาวนานถึง 75 ปี
Lawrence Freedman
นักยุทธศาสตร์ชาวอังกฤษ
หลังจากการสาบานตัวเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของโดนัลด์ ทรัมป์แล้ว ทุกคนตระหนักดีว่า ความเปลี่ยนแปลงใหญ่จะเกิดในเวทีระหว่างประเทศอย่างแน่นอน เพราะด้วยบุคลิกภาพและทิศทางเชิงนโยบายที่ทรัมป์ได้ออกมาประกาศในช่วงของการหาเสียงนั้น เป็นสัญญาณที่ชัดเจนถึงการ ‘รื้อทิ้ง’ นโยบายความมั่นคงระหว่างประเทศของอเมริกันในแบบเดิม
แต่ความกังวลดังกล่าวก็ยังเป็นเพียงความกังวล … รอเพียงเวลาที่ความกังวลจะเกิดเป็นสถานการณ์จริง!
จุดเปลี่ยนที่ 1
แล้วในที่สุด วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2025 ความกังวลในทางความมั่นคงดังกล่าวได้เกิดจริง เมื่อสหรัฐฯ ไม่ยอมลงเสียงสนับสนุนญัตติของสหประชาชาติในการประณามรัสเซียต่อปัญหาสงครามยูเครน และการให้รัสเซียถอนตัวออกจากการยึดครองดินแดนของยูเครน การลงเสียงในเวทีสหประชาชาติครั้งนี้ เป็นดังการประกาศว่า สหรัฐฯ ไม่ยอมรับหลักการพื้นฐานของระเบียบระหว่างประเทศ และหลักการเบื้องต้นของสหประชาชาติ ที่รัฐจะไม่ใช้กำลังในการรุกรานเพื่อยึดครองรัฐอื่น
ผลที่ปรากฏจากการลงเสียงในครั้งนี้ จึงปรากฏเป็นทิศทางการเมืองโลกอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อสหรัฐฯ โหวตไปในทางเดียวกับรัสเซีย และชาติที่เป็นมิตรกับรัสเซีย อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ และรัสเซียไม่ชนะการออกเสียงครั้งนี้ ซึ่งมีคะแนนดังนี้ ญัตติถอนทหารรัสเซียออกจากยูเครน มีชาติต่างๆ เห็นด้วย 93 เสียง (ประเทศที่เป็นเสรีนิยมต่างๆ รวมไทย) งดออกเสียง 65 เสียง (นำโดยจีน อิหร่าน อินเดีย) ไม่เห็นด้วย 18 เสียง (เช่น สหรัฐฯ รัสเซีย เกาหลีเหนือ เบลารุส อิสราเอล และบรรดาชาติในแอฟริกาที่เป็นมิตรกับรัสเซีย)
การออกเสียงของสหรัฐฯ ในญัตติสงครามยูเครน เริ่มเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงทิศทางใหม่ของนโยบายความมั่นคงระหว่างประเทศในยุคของทรัมป์ และเป็นทิศทางที่ต่างจากนโยบายในยุคของประธานาธิบดีโจ ไบเดนอย่างสิ้นเชิง … ทิศทางเช่นนี้ ‘ช็อก’ ผู้นำประเทศต่างๆ ที่เป็นสายเสรีนิยม โดยเฉพาะผู้นำของสหภาพยุโรป (EU.) และ NATO การแสดงออกของรัฐบาลทรัมป์ถือเป็น ‘สัญญาณร้าย’ ที่ผู้นำทำเนียบขาวเปลี่ยนนโยบายแบบหันหลังกลับทันที และสร้างให้เกิดสิ่งอาจเรียกว่า ‘ทรัมป์เอฟเฟกต์’ (The Trump Effect) กับการเมืองโลกในแบบที่คาดไม่ถึง เพราะทำเนียบขาวละทิ้งชุดความคิดกระแสหลักแบบเดิม ที่เป็นพื้นฐานของนโยบายอเมริกันในเวทีโลกมาอย่างยาวนาน
จุดเปลี่ยนที่ 2
สัญญาณร้ายจากเวทีสหประชาชาติยังไม่ทันจางไป เหตุการณ์สำคัญในทางการเมืองและการทูตในอีก 4 วันถัดมา ดูเป็นสัญญาณที่ร้ายมากยิ่งขึ้นไปอีก
วันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2025 เป็นวันที่จะต้องถูกจดบันทึกถึง ‘ประเพณีทางการทูตใหม่’ ในยุคของทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ได้ต้อนรับประธานาธิบดีเซเลนสกีของยูเครนที่ทำเนียบขาว ซึ่งในเบื้องต้น หลายฝ่ายเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิดถึงการลงนามระหว่างผู้นำทั้ง 2 ประเทศ ที่สหรัฐฯ จะเป็นผู้รับสัมปทานใหญ่ในเรื่องของ rare earth ที่อยู่ในยูเครน อันจะมีผลอย่างมากกับภาคอุตสาหกรรมสมัยใหม่ของสหรัฐฯ
ความหวังจากการ ‘ดีล’ ของทรัมป์ อาจทำให้สหรัฐฯ แสดงบทบาทเชิงบวกให้กับยูเครนได้บ้าง แม้หลายคนมองว่า บทบาทเชิงบวกนี้ อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ผู้นำยูเครนต้องการ กล่าวคือ เซเลนสกีต้องการการค้ำประกันด้านความมั่นคง (security guarantee) แก่ยูเครนหลังการหยุดยิงที่จะเกิดในอนาคต ซึ่งทำเนียบขาวไม่เคยแสดงท่าทีที่ชัดเจนในเรื่องนี้แต่อย่างใด
แต่สุดท้าย การพบปะกันที่ทำเนียบขวากลายเป็นดังการเรียกผู้นำยูเครนมา ‘อบรม’ (ด่า) ที่เซเลนสกีไม่ยอมรับเงื่อนไขการยุติสงครามในแบบที่ทรัมป์และปูตินต้องการ จนทำให้เกิดภาพลักษณ์ว่า ประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีอเมริกันกลายเป็นเพียง ‘นายหน้า’ ที่เป็นตัวแทนของรัสเซียไปแล้ว ภาพที่ปรากฏในสื่อต่างๆ กำลังบอกดังชื่อภาพยนตร์เก่าในยุคสงครามเย็นว่า ทำเนียบขาวยุคทรัมป์ คือ ‘Ugly American’ (ภาพยนตร์เรื่องนี้มีไทยเป็น background ของเรื่อง และมี มรว. คึกฤทธิ์ ปราโมช รับบทนายกรัฐมนตรีไทย)
อีกทั้ง ยังเป็นการยืนยันอย่างชัดเจนว่า ผู้นำทำเนียบขวาในความเป็น ‘ประชานิยมปีกขวา’ (Rightwing Populism) นั้น คือ พันธมิตรสำคัญของระบอบอำนาจนิยมรัสเซีย และละเลยต่อหลักการและสถาบันของประชาธิปไตยไปแล้ว อันมีนัยว่า ผู้นำอเมริกันกำลังสิ้นสภาพความเป็นเสรีนิยม พร้อมทั้งละทิ้งชาติพันธมิตรและมิตรประเทศในโครงสร้างของระบบพันธมิตรระหว่างประเทศ ที่ผู้นำอเมริกันทุกยุคทุกสมัยนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ลงทุนสร้างขึ้นมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะในส่วนสำคัญคือ ‘พันธมิตรข้ามแอตแลนติก’ (Trans-Atlantic Alliance) ที่เป็นรากฐานสำคัญของนโยบายความมั่นคงอเมริกันในยุคสงครามเย็น โดยเฉพาะในกรณีของ NATO
ปฏิกิริยาจากยุโรป
ดังนั้น ในวันเสาร์ที่ 1 มีนาคม เราจึงได้เห็นปฏิกิริยาที่ชัดเจนของยุโรป และบรรดาชาติพันธมิตรตะวันตก ที่ออกมาประสานเสียงในการให้ความสนับสนุนยูเครน และเมื่อประธานาธิบดีเซเลนสกีออกเดินทางจากกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. มายังลอนดอน เขาได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากนายกรัฐมนตรีอังกฤษ เพื่อยืนยันในเชิงสัญลักษณ์ว่า อังกฤษจะไม่ทอดทิ้งยูเครน พร้อมทั้งอังกฤษเปิดการประชุมด้านการทหารของยุโรปกับผู้นำชาติตะวันตก เพื่อเตรียมรับสถานการณ์ใหม่ที่สหรัฐฯ กลายเป็นมิตรกับรัสเซีย และมีท่าทีสนับสนุนนโยบายของรัสเซียอีกด้วย
ทั้งหมดนี้ บอกเราอย่างชัดเจนว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ และวันที่ 28 กุมภาพันธ์ คือ ชัยชนะที่สำคัญของประธานาธิบดีปูตินในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา เป็นชัยชนะที่ไม่ต้องลงทุนด้วยกำลังรบเช่นในสงครามยูเครน แต่ผู้นำสหรัฐฯ กลับนำมาเสนอให้ด้วยตัวเอง
อีกทั้ง จากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ในวันนี้ สหรัฐฯ กับยุโรปไม่เพียงอยู่ห่างจากกันในทางภูมิศาสตร์ด้วยการขวางกั้นกลางของมหาสมุทรแอตแลนติกเท่านั้น หากแต่ในทางความคิดและนโยบายของผู้นำประชานิยมอย่างทรัมป์และแวนซ์ กลับยิ่งทำให้เกิด ‘ช่องว่างเชิงนโยบาย’ อย่างมโหฬาร อันเป็นผลของความคิดและการปฏิบัติต่อการมองปัญหาการเมืองและภัยคุกคามทั้งในเวทีโลกและในยุทธบริเวณยุโรปอย่างชัดเจน ตลอดรวมถึงความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือ การแสดงออกถึงความใกล้ชิดอย่างมากระหว่างผู้นำสหรัฐฯ กับรัสเซีย จนกลายเป็นการทำลายผลประโยชน์ของฝ่ายตะวันตก และทำลายด้วยมือของผู้นำอเมริกันเอง
ระเบียบใหม่?
ในมิติของปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์นั้น อาจกล่าวได้ว่า เรากำลังเห็นสิ่งที่เรียกว่า ‘The Post-American NATO’ ในมิติความมั่นคงยุโรปนั่นเอง … ถ้าเช่นนั้น ในอีกด้านหนึ่งของโลก เราจะเห็นอะไรในเอเชีย จาก ‘นโยบายแบบ Ugly American’ ของทรัมป์เช่นที่เกิดกับยูเครนในยุโรปมาแล้ว
อย่างไรก็ตาม อดคิดเล่นๆ ในอีกแบบหนึ่งไม่ได้ว่า ถ้าบรรพชนอเมริกันที่เป็นผู้วางรากฐานนโยบายต่างประเทศในยุคสงครามเย็นที่มีท่าทีต่อต้านสหภาพโซเวียตอย่างแข็งขัน แล้วหลายๆ คนเหล่านี้ฟื้นคืนชีพกลับมามีชีวิตอีกครั้งในยุคของประธานาธิบดีทรัมป์แล้ว พวกเขาอาจตกใจจน ‘ช็อก’ กับท่าทีของนโยบายสหรัฐฯ ที่แสดงออกถึงความเป็นพันธมิตรอย่างใกล้ชิดกับรัสเซีย … ใกล้ชิดมากในแบบที่ผู้นำทำเนียบขาวยอมละทิ้งอุดมการณ์และคุณค่าของโลกเสรีนิยมไปหมดอย่างน่าตกใจ และแม้กระทั่งยอมละทิ้งพันธมิตรยุโรปด้วย
ถ้าการเมืองโลกเดินไปในทิศทางเช่นนี้แล้ว ระเบียบระหว่างประเทศที่วางอยู่บนกฎกติกาของโลกเสรีนิยมที่มีสหรัฐฯ เป็นเสาหลักนั้น จะพลิกผันไปอย่างไร หรือจะปรากฏรูปแบบใหม่อย่างไรในอนาคต … คำถามนี้ท้าทายต่อความเป็นไปของการเมืองโลกอย่างยิ่ง!
ข้อมูลท้ายบท:
กำลังพลเปรียบเทียบ 2024
น่าสนใจว่า หลังจากสงครามเกิดในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 แล้ว กองทัพของรัฐคู่พิพาทขยายจำนวนกำลังพลของตนเองเป็นจำนวนมาก ดังปรากฏตัวเลขกำลังพลปัจจุบัน ดังนี้
- กองทัพยูเครน: กำลังประจำการ 5 แสน-8 แสนนาย กำลังสำรอง 3 แสน-4แสนนาย
- กองทัพรัสเซีย: กำลังประจำการ 1 ล้าน 1 แสนนาย กำลังสำรอง 1 ล้าน 5 แสนนาย
ที่มา: IISS, The Military Balance 2024
หมายเหตุผู้เขียน:
- การลงเสียงในญัตติยูเครนในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2025
-
- เห็นด้วย 93 เสียง เช่น ฝรั่งเศส แคนาดา ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไทย เป็นต้น
- ไม่เห็นด้วย 18 เสียง เช่น รัสเซีย สหรัฐฯ เกาหลีเหนือ เบลารุส ฮังการี อิสราเอล และประเทศในแอฟริกา
- งดออกเสียง 65 เสียง เช่น จีน อิหร่าน อินเดีย ซาอุดิอาระเบีย เป็นต้น
- ผู้สนใจแนวคิดแบบประชานิยมปีกขวาของทรัมป์ ดูจากงานของผู้เขียน คือ สุรชาติ บำรุงสุข, ทรัมป์นิยม: จากอนุรักษนิยมสู่ประชานิยมปีกขวา (สำนักพิมพ์แสงดาว, 2567) [หนังสือนี้ตีพิมพ์เผยแพร่ในเดือนธันวาคม 2024 หลังจากชัยชนะในการเลือกตั้งของทรัมป์]
ภาพ: Craig Hudson / Reuters