บล.ทรีนีตี้ ประเมินสหรัฐอเมริกาเผชิญ Recession เสี่ยง GDP ติดลบ 4 ไตรมาสติด กดดันธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เปลี่ยนนโยบายหันมาลดดอกเบี้ยปลายปีนี้ ระบุเป็นผลบวกกับตลาดหุ้น EM เหตุ Fund Flow จะหนีจากสหรัฐฯ ไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นเอเชีย พร้อมมองหุ้นไทยไตรมาส 1 ให้ผลตอบรับดีสุด รับอานิสงส์ดอลลาร์อ่อน
วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทรีนีตี้ เปิดเผยว่า ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามคือ การตัดสินใจเรื่องนโยบายดอกเบี้ยของ Fed ในช่วงกลางปีนี้จะเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดและจะมีผลต่อทิศทางตลาดทุนทั่วโลก โดยคาดการณ์ไว้ 3 กรณี ได้แก่
- กรณีที่ 1: Fed ขึ้นดอกเบี้ย 0.5% ในไตรมาส 1 สู่ระดับ 5% แล้วหยุดทั้งปี มองมีโอกาสเกิดขึ้น 35-40% ผลคือตลาดหุ้นทั่วโลกจะ Sideway Up แต่ Fund Flow จะเคลื่อนย้ายมาสู่เอเชียเหนือมากขึ้น (กรณีฐาน)
- กรณีที่ 2: Fed ขึ้นดอกเบี้ย 0.5% ในไตรมาส 1 สู่ระดับ 5% แล้วปรับลดลงกว่า 1-1.5% ในไตรมาส 4 มองมีโอกาสเกิดขึ้น 30-35% ผลคือตลาดหุ้นใน Emerging Market จะ Outperform
- กรณีที่ 3: Fed ขึ้นดอกเบี้ย 0.5% ในไตรมาส 1 สู่ระดับ 5% ในไตรมาส 1 และหยุด และปรับขึ้นดอกเบี้ยต่ออีกครั้งในช่วงปลายปีสู่ระดับ 6.5% มองมีโอกาสเกิดขึ้นแค่ 20% โดยจะมีผลกระทบคือตลาดหุ้นทั่วโลกจะปรับฐาน ซึ่งเป็นกรณีสถานการณ์ที่เลวร้ายสุด
โดยประเมินว่า 2 กรณีแรกจะมีโอกาสเกิดขึ้นสูงสุด พร้อมทั้งการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ของสหรัฐ ส่งผลให้ Fed ปรับลดดอกเบี้ยนโนบาย ขณะที่จีนได้ประกาศเปิดประเทศ จะส่งผลให้ Fund Flow ไหลออกจากสหรัฐฯ และเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเกิดใหม่ (Emerging Market: EM) ต่อเนื่องจากปี 2565 เห็นได้จากการที่นักลงทุนต่างประเทศซื้อหุ้นในอาเซียน 6 ประเทศ กว่า 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็น Fund Flow ที่สูงสุดในประวัติศาสตร์
ขณะที่ประเทศไทยพบว่ามี Fund Flow จากนักลงทุนต่างประเทศไหลเข้ากว่า 6 พันล้านดอลลาร์ หรือมากกว่า 2 แสนล้านบาท ทำให้ MSCI ของอาเซียนถูก Overweight สูงกว่า Benchmark กว่า 1.6% และเงินยังไหลเข้าต่อเนื่องในช่วงสัปดาห์แรกของปี 2566 ซึ่งนักลงทุนต่างประเทศเป็นฝ่ายซื้อสุทธิกว่า 7.8 พันล้านบาทในตลาดหุ้นไทย และ 4.2 หมื่นล้านบาทในตลาดพันธบัตรระยะสั้นไทย และยังคาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังจะเห็นเงินไหลไปลงทุนประเทศในเอเชียเหนือ เช่น เกาหลีใต้ และไต้หวัน มากขึ้น และจะทำให้กลุ่มเทคในจีน ไต้หวัน และเกาหลีใต้ Outperform ขึ้นมา ซึ่งจะเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อ Fund Flow ไหลออกจากตลาดหุ้นอาเซียน รวมถึงหุ้นไทย
ขณะที่ในปี 2566 ตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวนได้รับแรงกระแทกจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งเป็นผลจากการที่ Fed ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างรวดเร็วในปี 2565 โดยขึ้นดอกเบี้ยรวมกว่า 4% เพื่อที่ลดแรงกดดันเงินเฟ้อที่ปรับตัวขึ้นในระดับ 8-9% ในปี 2565 หรือที่เราเรียกว่า Over-Tightening เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในปี 2523 และ Fed ต้องลดดอกเบี้ยเพื่อช่วยเศรษฐกิจ มองว่าเงินเฟ้อของสหรัฐฯ จะแตะระดับ 2% ใน 2 ปีข้างหน้า มองค่าเงินดอลลาร์จะอ่อนค่าลงได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว และจะไม่กลับไปแข็งค่าอีกในระยะสั้น
นอกจากนี้ ผลกระทบจากการที่ Fed ขึ้นดอกเบี้ยแรงและเร็ว จะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจจะติดลบ 0.1% ในไตรมาส 2 ปีนี้ และอาจจะลากยาวถึงติดลบ 2.3% ในไตรมาส 1/67 ขณะที่เศรษฐกิจยูโรโซนอาจจะติดลบ 0.4% ในไตรมาส 4/65 และติดลบอีก 0.4% ในไตรมาส 1 ปีนี้ ก่อนที่ฟื้นตัวบวก 0.2% ในไตรมาส 2 ส่วนเศรษฐกิจจีนมองการฟื้นตัวอยู่ที่ระดับ 4-5% และอาจจะฟื้นตัวแตะระดับ 6.8% ในไตรมาส 2/67 จึงมองการ Overweight ตลาดหุ้นจีนยังได้ประโยชน์จากอุปสงค์ที่ซ่อนอยู่ (Pent Up Demand) และเงินออมที่เก็บไว้ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด ตลอดจนการที่กองทุนระดับโลกยังคง Underweight หุ้นจีน 3-5%
สำหรับตลาดหุ้นไทยปี 2566 มีทั้งปัจจัยบวกและลบที่มีผลต่อการลงทุน และมองว่าดัชนีหุ้นไทยจะแกว่งอยู่ระหว่าง 300 จุด (13 เท่าของกำไรต่อหุ้น 117 บาท และ 15 เท่าของกำไรต่อหุ้น 117 บาท ในปี 2567 ตามลำดับ) โดยช่วงไตรมาส 1 ปีนี้จะเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุด
โดยมีโอกาสเห็นดัชนีขึ้นไปถึงระดับ 1,700 จุด แนะนำการลงทุนเป็น Sector Rotation โดยให้น้ำหนักลงทุนมากกว่าตลาด (Overweight) ไปยังกลุ่มธนาคาร, กลุ่มค้าปลีก, กลุ่มโรงไฟฟ้า, กลุ่ม Infrastructure Fund, กลุ่ม Industrial Estate และกลุ่มโทรคมนาคม แต่ให้น้ำหนักลงทุนน้อยกว่าตลาด (Underweight) กลุ่มพลังงาน
“ช่วงไตรมาสที่ 1/66 ตลาดหุ้นอาเซียน และ SET Index จะ Outperform ตลาดหุ้นโลก เพราะตลาดหุ้นอาเซียนได้ผลประโยชน์จากค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนลง ต้นทุนวัตถุดิบที่ถูกลง เงินเฟ้อที่ลดลง แต่คาดว่านับตั้งแต่ไตรมาส 2 หรืออย่างช้าในไตรมาส 4 นักลงทุนต่างประเทศเริ่มหาจังหวะที่จะลดการลงทุนหุ้นในอาเซียน อาจขายหุ้นประมาณหนึ่งส่วนสามของ 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์ ที่ซื้อมาปี 2565 หรือ 4 พันล้านดอลลาร์ เพื่อคงน้ำหนักลงทุนให้เท่า Benchmark MSCI Emerging Market”
การจัด Asset Allocation ปี 2566 ให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนใน Global Fixed Income 25-30% หุ้นใน Emerging Market 20-25% โดยเน้นน้ำหนักหุ้นจีนและเวียดนาม, หุ้นไทย 10-15%, ทองคำ 5-10%, หุ้นยุโรปและหุ้นญี่ปุ่น 5% และเงินสด 25-30%
“ปี 2566 เป็นปีที่มีความผันผวนอย่างมาก มีทั้งปัจจัยที่เป็นบวกและลบผสมกันอย่างมาก เงินทุนเคลื่อนย้ายเร็วขึ้น Fed มีโอกาสกลับทิศจากการขึ้นดอกเบี้ยต้นปี ไปเป็นลดดอกเบี้ยแทน และอาจจะลดกว่า 1.75% ในปลายปี 2566 หรือการลดดอกเบี้ยของ Fed จะเกิดขึ้นอย่างช้าที่สุดในไตรมาส 1/67 หรือเรียกว่า Fed Pivot ค่าเงินดอลลาร์จะอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็วช่วงที่ Fed หยุดการขึ้นดอกเบี้ย กลยุทธ์ลงทุนแนะนำให้ Overweight ในสินทรัพย์ที่ไม่ใช่ดอลลาร์ มองค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้น ขณะที่ราคาทองคำในรูปเงินดอลลาร์มีโอกาสขยับค่าขึ้น”
สำหรับทิศทางดอกเบี้ยของไทย ประเมินว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของไทย อาจจะปรับเพิ่มดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% อีก 2 ครั้ง ในวันที่ 25 มกราคม และ 29 มีนาคมปีนี้ แล้วจะหยุดการขึ้นดอกเบี้ย เพราะเงินเฟ้อได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- ความมั่งคั่งจากหุ้นของชาวอเมริกันหายไปกว่า 9 ล้านล้านดอลลาร์ จากที่เคยเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวหลังวิกฤตโควิด
- Fed ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามคาด 0.75% พร้อมส่งสัญญาณขึ้นต่อลากยาวถึงปีหน้า
- นักวิเคราะห์ชี้พิษนโยบาย Fed เป็นเหตุทำตลาดหุ้นทั่วโลกปั่นป่วน