เจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ กล่าวระหว่างการเข้าร่วมงานสัมมนาออนไลน์กับนิตยสาร The Atlantic ระบุว่า กระทรวงการคลังสหรัฐฯ อาจจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อทำให้แน่ใจว่าเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จะไม่โอเวอร์ฮีตหรือร้อนแรงจนเกินไป จากนโยบายอัดฉีดและกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่ของประธานาธิบดีโจ ไบเดน มูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ เปิดเผยว่า แม้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอาจทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ร้อนแรงเกินไป และตัวมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเองไม่ได้มีวงเงินมากนักเมื่อเทียบกับมูลค่าเศรษฐกิจทั้งประเทศ แต่สหรัฐฯ ก็จำเป็นต้องมีมาตรการเหล่านี้เพื่อให้แข่งขันกับประเทศอื่นๆ ได้
ขณะเดียวกัน เยลเลนยังใช้โอกาสนี้ชื่นชมแนวทางนโยบายของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่มุ่งมั่นยกระดับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เข้าถึงภาคส่วนที่มักถูกมองข้ามในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา อย่าง โครงสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน การวิจัยและพัฒนา และการส่งเสริมคน ชุมชน และธุรกิจขนาดเล็ก
ทั้งนี้ นับตั้งแต่ที่โรคโควิด-19 เริ่มแพร่ระบาดในเดือนมีนาคมปีที่แล้ว สภาคองเกรสได้จัดสรรงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจไปแล้วประมาณ 5.3 ล้านล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ ประธานาธิบดีไบเดนยังได้พยายามผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงินรวม 4 ล้านล้านดอลลาร์เพื่อเยียวยาชาวอเมริกันที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ขณะที่เพิ่มการจ้างงานและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้วย
รายงานระบุอีกว่า เยลเลนไม่ค่อยวิตกเรื่องของเงินเฟ้อสักเท่าไรนัก เพราะกระทรวงการคลัง และธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีเครื่องมือพร้อมจัดการกับเงินเฟ้อไว้เรียบร้อยแล้ว อีกทั้งอัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในห้วงเวลานี้เป็นเพียงแค่การปรับตัวในระยะสั้นๆ เท่านั้น และเชื่อว่าแรงกดดันด้านราคาน่าจะผ่อนคลายลงไปในช่วงครึ่งปีหลัง
ขณะเดียวกัน มีรายงานว่าประธานาธิบดีไบเดนยังเห็นด้วยกับแนวคิดของรัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ที่จะขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดความร้อนแรงของเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ในส่วนประเด็นที่หลายฝ่ายวิตกอย่างเรื่องการขาดดุลการค้าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของสหรัฐฯ เยลเลนกล่าวอย่างชัดเจนว่า การขาดดุลดังกล่าวเป็นสิ่งที่สหรัฐฯ ต้องจ่ายเพื่อแลกกับสิ่งที่ได้ทำลงไป ซึ่งรัฐบาลสหรัฐฯ ยังคงมีงบประมาณการคลังที่แข็งแรงดีพอจะรับมือไหวอยู่
ภายหลังการออกมาส่งสัญญาณดังกล่าว ทำให้ดัชนีแนสแด็ก ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดิ่งลงกว่า 1.8% เนื่องจากนักลงทุนพากันเทขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่มีความอ่อนไหวต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ส่วนดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นเล็กน้อยราว 0.06%
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
อ้างอิง: