×

เครือข่ายเพื่อความยั่งยืนฯ แนะใช้ ESG รับมือโควิด-19 พลิกฟื้นธุรกิจสร้างภูมิคุ้มกันระยะยาว

โดย THE STANDARD TEAM
21.04.2020
  • LOADING...
ใช้ ESG รับมือโควิด-19

เมื่อวานนี้ (20 เมษายน) เครือข่ายเพื่อความยั่งยืนแห่งประเทศไทย (Thailand Responsible Business Network-TRBN) เปิดแผนเร่งด่วนช่วยธุรกิจรับมือวิกฤตโควิด-19 แนะใช้ ESG (Environmental, Social และ Governance) บริหารจัดการอย่างสมดุล และผสานในกลยุทธ์องค์กรสร้างภูมิคุ้มกันระยะยาว พร้อมเดินหน้าเชื่อมองค์ความรู้ และทรัพยากรเพื่อสร้างพลังร่วมในการแก้ปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพและพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไป

 

โดย พิมพรรณ ดิศกุล ณ อยุธยา ผู้อำนวยการเครือข่ายเพื่อความยั่งยืนแห่งประเทศไทย (Thailand Responsible Business Network-TRBN) เปิดเผยว่า แม้ในช่วงวิกฤตโควิด-19 นี้ เราได้เห็น S ‘Social’ หรือการบริหารจัดการเพื่อดูแลพนักงานและคู่ค้าในห่วงโซ่อุปทาน และการทำกิจกรรมด้านสังคมของบริษัทจดทะเบียนและไม่จดทะเบียนทุกขนาดในตลาดหลักทรัพย์ฯ จำนวนมาก 

 

ในส่วนของ G ‘Governance’ มีกรรมการของหลายองค์กรออกมาแสดงความคิดเห็นที่น่าชื่นชมเกี่ยวกับการรักษาสมดุลระหว่างธุรกิจ ผู้มีส่วนได้เสีย สังคมส่วนรวม และสิ่งแวดล้อม ผ่านสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) ในทางกลับกัน ในภาวะนี้ก็มีบางบริษัทที่ต้องมุ่งเน้นการแก้ปัญหาการอยู่รอดของธุรกิจระยะสั้น จนอาจทำให้ต้องสละมุมมองระยะยาวที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาปัจจัยความเสี่ยงของ ESG รอบด้าน ซึ่งนำไปสู่การลดความสำคัญเรื่องความยั่งยืน และการขับเคลื่อน ESG ของภาคธุรกิจในภาพรวมมีอุปสรรค

 

“จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในขณะนี้ บริษัทเอกชนต่างหามาตรการเร่งด่วนเพื่อป้องกันผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้เสีย ถือเป็นโอกาสแสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบและการยึดมั่นในการดำเนินงานโดยคำนึงถึงสังคม สิ่งแวดล้อม และธรรมาภิบาลของหลายบริษัท หรือคุณค่าของบริษัทต่อส่วนรวม และอาจเป็นบทพิสูจน์ที่ดีว่าบริษัทที่มีการดำเนินกิจการโดยคำนึงถึงปัจจัยความยั่งยืนเหล่านี้มาอย่างต่อเนื่อง สามารถปรับตัว และนำพาผู้มีส่วนได้เสีย อยู่รอดปลอดภัย และรักษาการเติบโตไว้ในสภาวะวิกฤตนี้ได้หรือไม่ อย่างไร” พิมพรรณกล่าว

 

จากการประเมินของ TRBN สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 แสดงให้เห็นว่า วิกฤตเกิดขึ้นจริง สิ่งที่เราเคยคิดว่าสร้างผลกระทบสูง แต่มีความเป็นไปได้ต่ำเกิดขึ้นแล้ว และถึงแม้จะยังไม่มีบทสรุปของโควิด-19 แต่วิกฤตในอนาคตจะมาในรูปแบบใหม่ และเป็นเหตุผลให้การประเมินความเสี่ยงและการเตรียมความพร้อมสร้างภูมิคุ้มกันที่รอบด้านมากขึ้นของธุรกิจอย่างเรื่อง ESG มีความจำเป็นมากขึ้น จากเดิมที่ความเสี่ยงที่เราคุ้นเคยมักเป็นความเสี่ยงทางการเงิน ทางเศรษฐกิจ หรือการเมือง 

 

ภายหลังการระบาดของโควิด-19 เชื่อว่านักลงทุนและกองทุนเพื่อสังคมต่างๆ ทั่วโลกจะไม่เพียงแต่จะมุ่งเน้นไปที่การประเมินความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม (Environment) เป็นหลัก แต่จะให้น้ำหนักกับการประเมินความเสี่ยงในด้านสังคม (Social) มากยิ่งขึ้น ที่ครอบคลุมทั้งภายในและภายนอกองค์กร ตั้งแต่การดูแลสวัสดิการพนักงานด้านสุขภาพและความปลอดภัย ตลอดจนคู่ค้าและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่างๆ ไปจนถึงการลงทุนเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในมิติต่างๆ ทางสังคม

 

พิมพรรณกล่าวต่อว่า TRBN จึงมีแผนระยะเร่งด่วนเพื่อสนับสนุนการรับมือวิกฤตของภาคธุรกิจหรือ ESG in COVID ภายใต้แนวคิด ‘Business for Better Future’ โดยใช้จุดแข็งของเครือข่ายฯ ในการเชื่อมองค์ความรู้และเชื่อมทรัพยากรเพื่อสร้างพลังร่วมในการแก้ปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยยกระดับผลลัพธ์ในการดำเนินการ ESG ของธุรกิจและลดความเสี่ยงปัญหาสังคม สิ่งแวดล้อมในภาพรวมที่จะได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของธุรกิจ ดังนี้

 

1) แชร์ให้รู้และสร้างแรงบันดาลใจ: ESG Best Practices เกี่ยวกับมาตรการขององค์กรต่างๆ ในการรับมือกับโควิด-19 และบทพิสูจน์ของธุรกิจที่แม้จะได้รับผลกระทบสามารถใช้ ESG เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันองค์กร และรับมือสถานการณ์ ดูแลพนักงาน และมีแผนการเตรียมการในการรับมือในระยะฟื้นตัว และอีกหลายรายสามารถพลิกตัวเองกลายมาเป็นผู้ให้ในภาวะวิกฤต โดย TRBN ได้ถอดบทเรียนและจะแบ่งปันความรู้ผ่านการสื่อสารกับสมาชิกและสาธารณชน ผ่าน Facebook Page: TRBN และช่องทางการสื่อสารอื่นๆ ของเครือข่าย

 

2) เชื่อมให้เกิด: ESG in Action TRBN ได้จับมือกับภาคีต่างๆ ผนึกพลังสังคม ในการระดมทรัพยากรและเชื่อมต่อ เพื่อแก้ปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นจากโควิด-19 อย่างเป็นรูปธรรม โดยจะปรับโครงการการสร้างพื้นที่ความร่วมมือในประเด็นเป้าหมายต่างๆ ที่ทาง TRBN และภาคีดำเนินการอยู่ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เช่น ต่อยอดการดำเนินโครงการวิภาวดีฯ ไม่มีขยะ ที่ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และบริษัทจดทะเบียนไทยและบริษัทเอกชน 31 บริษัท ตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) มาสู่การแก้ปัญหาขยะที่กำลังวิกฤตจากพฤติกรรมการใช้บริการเดลิเวอรีอาหารที่เพิ่มมากขึ้น ในโครงการ ‘ส่งพลาสติกกลับบ้าน’ รวมไปถึงร่วมกับภาคส่วนต่างๆ ริเริ่มโครงการสนับสนุนป่าชุมชน เพื่อส่งเสริมโครงการพื้นฐานในการผลิตและสร้างรายได้ภาคเกษตรกรรม บรรเทาผลกระทบคนอพยพกลับท้องถิ่น และสร้างกลไกการดูดซับคาร์บอนฯ ในระยะยาว

 

“ข่าวร้ายคือ ไม่ว่าโควิด-19 จะจบลงเมื่อไร อย่างไร ความเสี่ยงทางสังคมและสิ่งแวดล้อมจะใกล้ตัวยิ่งขึ้น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและโลกที่ร้อนขึ้น ทรัพยากรธรรมชาติที่เสื่อมโทรม ภัยแล้ง และความเหลื่อมล้ำทางสังคมและเศรษฐกิจ จะยังอยู่ และส่งผลกระทบอีกเรื่อยๆ ต่อทุกส่วนของสังคม ทุกผู้เล่นในห่วงโซ่อุปทาน และทุกประเทศทั่วโลก หากไม่ร่วมกันใช้โอกาสนี้เปลี่ยนแปลง ก็ต้องมาร่วมกันรับมือ และใครพร้อมที่สุดถึงจะรอด ดังนั้น บริษัทจะไม่สามารถมุ่งแค่การทำธุรกิจอย่างเดียวได้อีกต่อได้ แต่ต้องเข้าใจปัจจัยรอบด้านที่กว้างออกไปทางสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลที่มีผลกระทบต่อธุรกิจ พยายามเตรียมการและบริหารจัดการ เพื่อป้องกันและรับมือปัญหาหรือเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้น ถี่ขึ้น รุนแรงขึ้น และที่สำคัญที่สุด ภาคเอกชนต้องลุกขึ้นเป็นส่วนสำคัญในการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น ร่วมกันสร้าง New Normal ที่นำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนขึ้นในภาพรวม เพื่อบรรเทาปัญหาและผลกระทบที่จะตามมาเป็นความเสี่ยงของภาคธุรกิจเอง” พิมพรรรณกล่าว

 

พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์ 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X