ท่ามกลางความเคลื่อนไหวของสหภาพแรงงานที่นัดกันหยุดงาน สร้างแรงกดดันให้กับธุรกิจรายใหญ่ ทำให้ ‘Toyota Motor’ ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่น เตรียมปรับขึ้นเงินค่าจ้างให้พนักงานในโรงงานอเมริกาสูงถึง 9% พร้อมเพิ่มวันหยุดให้ด้วย
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นโยบายดังกล่าวของ Toyota Motor ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นรายใหญ่ เตรียมปรับขึ้นเงินค่าจ้างประมาณ 9% ต่อชั่วโมง ให้กับพนักงานในกระบวนการผลิต
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- Toyota กำลังบุกตลาดไฮบริด? งัดกลยุทธ์ใหม่ ขออินเดียลดภาษีรถยนต์ไฮบริด 21% โดยให้เหตุผลว่าปล่อยมลพิษน้อย และตอบโจทย์ไม่แพ้ EV
- ไม่ขยับ = ตาย! เจาะกลยุทธ์ Toyota กับการเปิดตัว Yaris Cross ที่จัดเต็มออปชันและราคากระชากใจ จนรถจีนยังต้องมองค้อน
- Toyota เร่งแผน EV ในจีน ดึง 3 แบรนด์แดนมังกรร่วมโปรเจกต์ พร้อมดึงคู่ค้าพัฒนาขุมพลัง-แบตเตอรี่ทางไกล หวังฟื้นยอดขาย
เบื้องต้นจะใช้ในโรงงานบางแห่งเท่านั้น ซึ่งจะทำให้พนักงานได้รับค่าตอบแทนสูงสุด หรือมีรายได้มากกว่า 34 ดอลลาร์ หรือราวๆ 1,209 บาทต่อชั่วโมง
สำหรับการปรับขึ้นค่าจ้างจะเริ่มประกาศใช้วันที่ 1 มกราคม 2024 และประมาณ 4 ปี อัตรารายได้ของพนักงานจะก้าวขึ้นไปสู่ระดับการจ่ายค่าจ้างรายชั่วโมงสูงสุด
“บริษัทเราให้ความสำคัญกับพนักงานมาเป็นอันดับหนึ่ง และมีการทบทวนนโยบายค่าตอบแทนอยู่เป็นระยะๆ เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมรถยนต์” Chris Reynolds รองประธานบริหารของ Toyota Motor ในอเมริกากล่าว
ทั้งนี้ การปรับขึ้นเงินค่าจ้างเกิดขึ้นหลังจากสหภาพแรงงาน United Auto Workers โดยมีทั้ง GM, Ford Motor และ Stellantis นัดกันหยุดงานประท้วงการขึ้นค่าจ้าง โดยใช้เวลานานกว่า 40 วัน ซึ่งมีผลต่อความเสียหายทางธุรกิจอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ในปีงบประมาณ 2023 สิ้นสุดเดือนมีนาคม 2024 บริษัทคาดการณ์ว่าจะมีกำไรสุทธิเป็นประวัติการณ์อยู่ที่ 3.95 ล้านล้านเยน (2.6 หมื่นล้านดอลลาร์) เพิ่มขึ้น 61.1% จากปีก่อนหน้า ในขณะที่รายได้จะเพิ่มขึ้น 15.7%
สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จของการขายรถยนต์ทั่วโลกเพิ่มขึ้น จากการที่บริษัทพยายามเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ๆ รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้าออกสู่ตลาด
อ้างอิง: