บทบาท อี้ พี่ชายคนโตที่พยายามทำทุกอย่างเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ให้กับคนในครอบครัว จากละคร เลือดข้นคนจาง คือความท้าทายล่าสุดในฐานะนักแสดงของ ต่อ-ธนภพ ลีรัตนขจร ที่ก่อนหน้านี้หลายคนมองว่าการแสดงเป็น ‘พี่ยิม’ เด็กพิเศษจาก Project S The Series ตอน Side by Side ไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่สำหรับต่อนั่นเป็นเพียงการ ‘กระโดด’ ข้ามกำแพงที่สูงชัน เพื่อมาพบว่ายังมีกำแพงที่สูงชันยิ่งกว่ารออยู่
และเขาก็ยังพัฒนาตัวเองอย่างไม่หยุด กระโดดข้ามทุกกำแพงที่ขวางหน้า เพื่อตามหาคำตอบให้ได้ว่า ‘จุดสูงสุด’ ในฐานะนักแสดงของเขาจะไปหยุดอยู่ที่ตรงไหน
ในมุมมองของต่อ ตัวละคร ‘อี้’ เป็นคนแบบไหน
ที่เด่นมากๆ คือเป็นคนมุทะลุ มีเป้าหมาย มีแนวความคิดเป็นของตัวเอง ไม่ตามใคร สัญชาตญาณดี และใช้ชีวิตด้วยการใช้สัญชาตญาณนำ คืออี้เป็นคนมีเหตุผลนะ คิดอะไรซับซ้อนมาก แต่สุดท้ายเขาเชื่อความรู้สึกมากกว่าเหตุผล ถ้ามีปัญหาเกิดขึ้น เขาพร้อมที่จะพุ่งเข้าหาเป้าหมายทันทีโดยไม่รอความช่วยเหลือจากใคร มีความกร้านโลก ไม่ถึงกับกร่าง แต่ก็ไม่ยอมก้มหัวให้ใคร
ระหว่างตรรกะกับสัญชาตญาณ ตัวจริงของต่อใช้อะไรในการนำชีวิต
เมื่อก่อนใช้สัญชาตญาณล้วน แต่ตอนนี้ผมคิดว่าใช้สัญชาตญาณอย่างระมัดระวัง ผมยังเชื่อว่าสัญชาตญาณเป็นสิ่งที่ทำให้เราตัดสินใจได้ดีที่สุดอยู่ แต่พอผ่านโลกมากขึ้น ก็จะรู้ว่าอะไรถูกผิด อะไรดีไม่ดีมากขึ้น
เมื่อก่อนผมเคยโดนถามถึงเรื่องที่ค่อนข้างรุนแรง สัญชาติญาณบอกให้เราตอบตรงๆ แล้วมันกลายเป็นผลเสียที่ค่อนข้างใหญ่ในจิตใจผม เลยรู้สึกว่าถ้าเราจะอยู่ในโลกใบนี้ เราต้องบาลานซ์ บางอย่างถ้ามันจะทำร้ายใครมากๆ เราก็เปลี่ยนจากการเป็นคนพูดตรงๆ เป็นไม่ต้องพูดไหม บางทีอยู่เฉยๆ ก็ได้
ถ้าเป้าหมายของอี้คือการช่วยยืนยันความบริสุทธิ์ของคุณแม่ เป้าหมายของต่อในตอนนี้คืออะไร เปลี่ยนแปลงไปจากช่วงก่อนหน้านี้บ้างไหม
เป้าหมายสูงสุดยังไม่เปลี่ยนครับ ทำงานในวงการไปเรื่อยๆ ผมรู้ว่าสิ่งที่ทำอยู่เป็นอาชีพที่ค่อนข้างตายตัวว่าเมื่อถึงจุดหนึ่งปั๊บเราอาจจะไปต่อไม่ได้แล้ว สิ่งที่เป็นเป้าหมายในตอนนี้ก็คือ ผมอยากรู้ว่าก่อนที่วันหมดอายุของผมจะมาถึง ถ้าผมไม่หยุดพัฒนาตัวเองแล้วจุดสูงสุดที่ผมจะพาตัวเองไปถึงได้มันอยู่ที่ตรงไหน มันอาจจะหมายถึงชื่อเสียง ฝีมือ การคว้ารางวัลยิ่งใหญ่ หรืออะไรก็ได้ แต่พอเราไม่รู้ว่ามันคืออะไร สิ่งที่ทำได้ก็มีแค่การเดินหน้าไปก่อน
ที่ผ่านมาเคยรู้สึกว่าตัวเองเข้าใกล้จุดสูงสุดของตัวเองมาแล้วบ้างไหม
ไม่เคยเลยครับ ทุกงานที่ผ่านมา เหมือนผมเป็นนักวิ่งที่กำลังวิ่งอยู่ และอยู่ๆ ก็เจอกำแพงแล้วชนเข้าอย่างจัง เป็นจุดที่ทำให้ผมดาวน์ลงไป แล้วพยายามยืนหยัดขึ้นมาใหม่เพื่อพยายามข้ามกำแพงนั้นไปได้ให้ พอข้ามไปได้ มันก็จะเป็นลูปที่เจอกำแพงใหม่ๆ ที่สูงกว่าเดิมอยู่ตลอดเวลา
ต่อเคยบอกว่าการรับบทเป็นพี่ยิม (Project S The Series ตอน Side by Side) เป็นกำแพงที่สูงมาก บทอี้ยังเป็นกำแพงที่สูงกว่าบทนี้อีกเหรอ
มันอาจจะไม่ได้สูงกว่าการเป็นพี่ยิม แต่การผ่านบทพี่ยิมมาได้มันเหมือนการที่ผมกระโดดข้ามกำแพง แล้วลงมาติดกับดักของตัวเอง คือบทพี่ยิมเป็นบทที่ผมศึกษาข้อมูล ทำการบ้านเกี่ยวกับเด็กพิเศษเยอะมาก เพื่อเทิร์นตัวเองไปสู่ภาวะแบบนั้น มันคือการใช้ความพยายาม ใช้ทักษะ ใช้ความสามารถทุกอย่าง จนผมลืมเรื่องสัญชาตญาณในการแสดงที่เป็นเรื่องสำคัญในตัวของอี้ไป พอจะเทิร์นกลับมาเป็นโหมดนี้ ในช่วงแรกก็งงเหมือนกันว่านี่กูกำลังทำอะไรอยู่วะเนี่ย มันเหมือนกับความสับสนในวันแรกๆ ที่ต้องเทิร์นเป็นพี่ยิมเลย
สุดท้ายพอผ่านไปได้ก็ต้องกลับมาคุยกับตัวเองใหม่ สิ่งที่ผมได้คำตอบหลังถ่าย เลือดข้นคนจาง จบ คือผมรู้ตัวแล้วจริงๆ ว่าผมไม่ใช่คนเก่ง แอ็กติ้งดีหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ผมแค่เป็นคนกัดไม่ปล่อย เพราะการที่ผมขลุกอยู่กับบทพี่ยิม ฟัดกันอยู่ 7 เดือนแล้วได้การแสดงแบบนั้นมา อย่างแรกมันตอบได้ว่าการกัดไม่ปล่อยของเรามันเวิร์ก แต่อย่างที่สองคือ มันแปลว่าผมต้องใช้เวลาตั้ง 7 เดือน ผมยังไม่เก่งพอที่จะบีบทุกอย่างให้รวบรัดได้แบบมืออาชีพขนาดนั้น มันเลยไม่ใช่จุดสูงสุดอะไรเลย เหมือนแค่แก้โจทย์เลขยากๆ ได้เพิ่มแค่นั้น
ส่วนใน เลือดข้นคนจาง ที่พี่ย้งให้โอกาสผมมาเจอกับรุ่นใหญ่ ที่เหมือนมหกรรมโปรเฟสชันนัลแฟร์ (หัวเราะ) เราอาจจะเคยคิดว่าเราสร้างโลกให้ตัวละครของเขาได้ แต่การแสดงของพวกเขายังสร้างชั้นบรรยากาศที่มาครอบโลกของเราได้อีก ยิ่งโต ยิ่งทำงาน ยิ่งเจอคนพวกนี้ ยิ่งชัดเจนว่าเราไม่ได้เก่งอะไรเลย
แสดงว่าต้องมีบางช่วงที่รู้สึกว่าตัวเองก็เก่งอยู่เหมือนกัน
ไม่ถึงขนาดนั้น แต่จะเป็นความรู้สึกว่า เออ เราอาจจะมีความ specific บางอย่างที่คนปกติเขาอาจจะไม่เล่นกัน เหมือนมียศประดับให้ตัวเองนิดหนึ่ง แต่ไม่เคยคิดถึงขนาดว่า กูแม่งเก่งว่ะ เจ๋งสัด ใครจะมาทำได้แบบกูวะ แต่สิ่งที่ผมต้องยอมรับจริงๆ คือ ผมภูมิใจในตัวพี่ยิมมากๆ ไม่ใช่ภูมิใจตัวเองนะ แต่ภูมิใจในบทนี้ มันเป็นหนึ่งในเรื่องที่รู้สึกกับตัวเองได้ว่า จากวันที่ทุกคนสบประมาทว่าเราไม่มีทางทำได้ แล้วเราก็พยายามทำทุกอย่างจนข้ามมันไปได้
พูดแบบนี้ได้ไหมว่า ต่อจะไม่มีทางรู้ว่าจุดสูงสุดของตัวเองอยู่ที่ไหน จนกว่าจะได้ไปยืนอยู่ตรงนั้น หรือจริงๆ แล้วต่ออาจจะไม่มีวันไปถึงจุดนั้นเลยก็ได้
ผมคิดเอาเองนะ ว่าจุดสูงสุดของผมคงเป็นวันสุดท้ายที่ผมทำงาน แล้วมองกลับมาถึงจะรู้ว่าจริงๆ แล้วเราเดินทางมาได้แค่ไหน และถ้าผมหยุดเดินตั้งแต่วันนี้ ผมจะได้คำตอบทันทีเลยนะว่าจุดสูงสุดของผมก็คือตรงนี้แหละ
เรื่องหมดอายุของอาชีพนักแสดงล่ะ ทำไมถึงคิดเรื่องนี้ตั้งแต่วันที่ยังเป็นนักแสดงวัยรุ่นที่มีโอกาสทางการแสดงเข้ามาตลอดเวลา
ผมคิดอยู่ตลอดครับ และเป็นเหตุผลทำให้ผมไม่กล้าที่จะหยุดตั้งใจทำงาน เพราะวันหมดอายุของผมอาจจะเป็นวันพรุ่งนี้ก็ได้ ไม่ได้สนใจนะครับว่ามันจะมาเร็วหรือช้า แต่รู้สึกว่าถ้าวันนี้ผมทำไม่เต็มที่ แต่พรุ่งนี้ผมหมดอายุไปแล้ว มันแปลว่าเราจะไม่ได้เต็มที่กับวันสุดท้ายของเรา และคงเสียใจไปตลอดชีวิตว่ามึงทำหน้าที่บกพร่องในวันสุดท้ายของตัวเอง
นอกจากความคิดของตัวเอง ปัจจัยภายนอก เช่น การเติบโตขึ้นของนักแสดงรุ่นใหม่ๆ มีผลกับความคิดเรื่องการหมดอายุของต่อบ้างไหม
เมื่อก่อนเคยคิดว่าอาจจะเกี่ยว แต่ผมคิดว่าบ้านเรากำลังมีการเปลี่ยนแปลงทีละน้อย วันหนึ่งจะต้องถึงยุคที่ผมจะพูดบ่อยๆ ว่า สุดท้ายหน้าตามันแดกไม่ได้ เป็นยุคที่คนมีฝีมือจริงๆ เท่านั้นที่จะยืนอยู่ได้ เหมือนเวลาฝรั่งเขาเล่นหนัง ที่บางคนไม่ได้หน้าตาดีเลย แต่ดูเขาแสดงสิ โอ้โห นี่มันตัวจริงชัดๆ พอคิดได้อย่างนี้ เราก็พยายามพัฒนาตัวเองต่อไป โดยไม่ได้โฟกัสไปถึงว่าจะมีใครเกิดขึ้นมาอีกกี่คน
แต่ต่อเองก็ถูกจัดอยู่ในหมวดคนหน้าตาดีเหมือนกันนะ
อันนี้เป็นแค่โพลของคนภายนอก แต่สิ่งที่ทุกคนไม่รู้คือ ตั้งแต่วันแรกที่ผมเข้ามาในค่ายนาดาวบางกอก แล้วผมถูกปลูกฝังมาตั้งแต่แรกว่าผมไม่ใช่คนหน้าตาดี ผมบอกไม่ได้นะว่าใครบอก แต่เหมือนเป็นชิปที่ฝังหัวผมมาตั้งแต่แรกเลย ยิ่งเทียบกับหลายๆ คนที่เด่นจากหน้าตาอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นพอรู้ตัวว่าไม่หล่อ เราเลยต้องมีอะไรที่มากกว่านั้น
พอผ่านกำแพงจากเรื่อง เลือดข้นคนจาง ไปแล้ว ต่อเจอกำแพงต่อไปที่ต้องข้ามไปให้ได้อีกหรือยัง
อย่างโปรเจกต์ 9×9 ก็เป็นกำแพงเหมือนกันนะครับ แต่มันเริ่มมาก่อนหน้า เลือดข้นคนจาง เป็นกำแพงที่ทำให้ผมอยู่ในภาวะเครียดมาก เพราะมีทั้งจุดที่ผมเป็นผู้ใหญ่และเด็กทารกในเวลาเดียวกัน การแสดงเราอาจจะโตมาได้ระยะหนึ่ง ก็จะมีความกดดันและคาดหวังแบบหนึ่ง แต่กับการร้องการเต้นที่เหมือนเพิ่งออกมาจากดักแด้ และต้องพยายามบาลานซ์ทุกอย่าง เพราะพอมาอยู่ตรงนี้เราต้องทำทุกอย่างให้ได้
เอาจริงๆ เรานึกภาพการเต้นกับต่อไม่ออกเหมือนกันนะ
ก่อนหน้านี้ไม่ได้มีความจำเป็นต้องเต้น ก็จะรู้สึกว่าเต้นไปทำไมวะ พอไม่อินก็เลยกลายเป็นกำแพงขึ้นมาว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เรารู้สึก แล้วสิ่งเหล่านี้มันแสดงออกมาผ่านท่าเต้นของเรา คือเราอาจจะเต้นถูกก็ได้นะ แต่โค้ชที่สอนเราจะรู้เลยว่ามึงไม่ได้อิน
อีกอย่างเป็นสิ่งที่ผมเพิ่งรู้สึกกับตัวเองคือ ผมเป็นคนขี้อาย เพราะเวลาเต้นหน้ากระจกแล้วผมไม่กล้ามองตัวเองในนั้น ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ใช่ไหม จะซ้อมเต้นก็ต้องมองตัวเองแล้วพัฒนาจากจุดบกพร่อง แต่ผมใช้วิธีเบลอโฟกัสตัวเองออกไป เป็นกำแพงสูงมาก ผมต้องเข้าคอร์สแก้ปัญหานี้เลยนะ แต่ก็แก้ไม่ได้ จนตอนหลังที่เริ่มพยายามลุกขึ้นสู้ เริ่มเสพ เริ่มดู เรียนรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับการเต้นมากขึ้น เพื่อทลายกำแพงความขี้อายของตัวเองครั้งนี้ให้ได้
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
- การรับบทเป็นพี่ยิมใน Project S The Series ตอน Side by Side ทำให้ต่อได้รางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากงานประกาศผลรางวัลนาฏราช ครั้งที่ 9 ประจำปี 2560
- นักแสดงที่ต่อคิดว่าหล่อที่สุดคือ ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์
- ละครเรื่อง เลือดข้นคนจาง ออกอากาศทุกวันศุกร์ เวลา 20.45 น. และวันเสาร์เวลา 20.10 น ทางช่อง one 31