ทิสโก้คาด GDP ไทยปีนี้โตเพียง 0.8% ต่ำสุดในรอบ 9 ปี และมีความเสี่ยงสูงขึ้นที่ทั้งปีอาจขยายตัวติดลบ หากสถานการณ์โควิด-19 ภัยแล้ง และการร่วงลงแรงของราคาน้ำมันรุนแรงและยืดเยื้อกว่าคาด
สำนักวิจัย บล.ทิสโก้ ระบุ ปรับลดคาดการณ์ GDP ไทยในปี 2020 ลงมาอยู่ที่ 0.8% (จากคาดการณ์เดิมที่ 1.7%) โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะหดตัว YoY ในไตรมาส 1 และไตรมาส 2 ก่อนที่จะกลับมาขยายตัวเป็นบวกได้ในช่วงครึ่งหลังของปี
นอกจากนี้ด้วยแนวโน้มเศรษฐกิจที่อ่อนแอลงอย่างมีนัย ทิสโก้คาดว่า กนง. จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเพิ่มเติมอีกอย่างน้อย 0.25% ไม่เกินช่วงไตรมาส 2 นี้ (เร็วสุดคาดว่าจะมีการปรับลดในการประชุมวันที่ 25 มีนาคม หลังจากได้มีการปรับลดลงไปแล้ว 0.25% ในการประชุมวันที่ 5 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา)
อย่างไรก็ดี ทิสโก้มองว่าความเสี่ยงด้านต่ำ (Downside Risk) ของเศรษฐกิจไทย ‘ยังมีอยู่สูง’ และมีโอกาสที่ GDP ทั้งปีอาจจะ ‘หดตัว’ ได้ในปีนี้จากความเสี่ยงสำคัญหลายประการ โดยเฉพาะ
1.ความไม่แน่นอนของการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่มีอยู่สูงอาจรุนแรงและยืดเยื้อกว่าที่คาดไว้ในกรณีฐาน
2.ความรุนแรงของสถานการณ์ภัยแล้งที่อาจแย่กว่าคาด ซึ่งก่อนหน้านี้ (รายงาน TIPS ฉบับเดือนกุมภาพันธ์) ให้น้ำหนักกรณีฐานว่าภัยแล้งจะลากยาวเพียง 5 เดือน (มกราคมถึงพฤษภาคม) ซึ่งจะกระทบต่อ GDP ราว 0.2% อย่างไรก็ดี หากผลผลิตเสียหายกว่าที่คาดในช่วงเวลาดังกล่าว และ/หรือสถานการณ์ลากยาวกว่าที่ประเมินไว้จะกระทบต่อปริมาณผลผลิตและรายได้เกษตรกรให้แย่ลงกว่ากรณีฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากภัยแล้งรุนแรงและลากยาวไปช่วงสิ้นปี ซึ่งเป็นช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยว โดยเฉพาะข้าวนาปีที่ผลผลิตกว่า 90% ออกสู่ตลาดในช่วงเวลาดังกล่าว
3.ความไม่สงบของสถานการณ์การเมืองในประเทศ ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้ยุบพรรคอนาคตใหม่
4.ราคาน้ำมันทรงตัวในระดับต่ำมากเป็นเวลานาน ซึ่งวานนี้ WTI มีการซื้อขายต่ำกว่าระดับ 30 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล หลังซาอุดีอาระเบียวางแผนปรับเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันกว่า 10 ล้านบาร์เรลต่อวันในเดือนเมษายน และปรับลดราคาขาย OSP (Offiical Selling Price) สำหรับน้ำมันดิบทุกเกรดที่ส่งมอบให้แก่ลูกค้าทุกประเทศ หลังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกับพันธมิตร OPEC และรัสเซียได้
ทิสโก้มองว่าหากราคาน้ำมันดิบอยู่ในระดับต่ำเป็นเวลานาน แม้ว่าจะส่งผลบวกในด้านต้นทุนพลังงานที่ต่ำลง (ช่วยลดค่าครองชีพของครัวเรือนและลดต้นทุนขนส่งของภาคธุรกิจ) รวมทั้งลดต้นทุนการนำเข้าน้ำมันและเชื้อเพลิงลง (ช่วยลดแรงกดดันต่อการขาดดุลการค้า เนื่องจากไทยเป็นประเทศนำเข้าน้ำมันสุทธิ)
แต่จะส่งผลลบต่อเศรษฐกิจคู่ค้าที่พึ่งพิงรายได้จากการขายน้ำมันอย่างรัสเซียและตะวันออกกลางให้แย่ลงดังที่เคยเกิดขึ้นในช่วงปี 2014-2016 ที่ราคาน้ำมันร่วงลงแรง (WTI ต่ำกว่าระดับ 30 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล) และทรงตัวในระดับต่ำ ทำให้เห็นนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาจากสองประเทศดังกล่าว โดยเฉพาะรัสเซีย หดตัวลงแรงและเป็นระยะเวลานาน (ปี 2019 นักท่องเที่ยวจากรัสเซียและตะวันออกกลางคิดเป็นสัดส่วน 3.7% และ 1.8% ของนักท่องเที่ยวรวม ตามลำดับ) อีกทั้งราคาน้ำมันที่ลดลงยังส่งผลกดดันต่อรายได้จากการส่งออกผ่านราคาสินค้าส่งออก (รวมถึงราคาสินค้าเกษตร) ให้ปรับตัวลดลงอีกด้วย
ความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจที่อ่อนแอลงไปมากส่งผลให้ CDS Spread (เสมือนเป็นต้นทุนของการซื้อประกันความเสี่ยงจากโอกาสผิดนัดชำระของลูกหนี้) ของไทยพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเกินกว่าระดับ 50bps (แม้ยังต่ำกว่าระดับในช่วงวิกฤตซับไพรม์ ปี 2008-2009, น้ำท่วม ปี 2011 และวิกฤตราคาน้ำมันต่ำ ปี 2014-2016) ซึ่งสะท้อนว่าตลาดกำลังกังวลมากขึ้นต่อภาวะเศรษฐกิจและฐานะการเงิน (Financial Status) ของตราสารที่ตนเองถือครองอยู่ ไม่ว่าจะเกิดจากความเสี่ยงที่ผู้ออกตราสารอาจถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลง และ/หรือมีความเสี่ยงที่อาจมีการผิดนัดชำระหนี้เพิ่มสูงขึ้น
สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 มีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น โดยจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 นอกประเทศจีนเพิ่มขึ้นเกินกว่าระดับ 26,000 ราย โดยจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่เพิ่มขึ้นในอัตราเร่งเฉลี่ยราว 2,400 คนต่อวันในช่วงวันที่ 1-8 มีนาคม เทียบกับระดับเพิ่มขึ้นเฉลี่ยเพียง 200 คนต่อวันในเดือนกุมภาพันธ์ ทั้งนี้ล่าสุดรัฐบาลอิตาลีสั่งปิดเมืองทั้งประเทศ ให้ประชาชนอยู่แต่ในบ้าน และห้ามรวมตัวกันในที่สาธารณะ หลังจำนวนผู้ติดเชื้อในอิตาลีเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ขณะที่จำนวนผู้ติดเชื้อสะสมในจีนสูงเกินกว่าระดับ 8 หมื่นราย อย่างไรก็ดี จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่เพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลง โดยเพิ่มขึ้นเฉลี่ยราว 100 คนต่อวันในวันที่ 1-8 มีนาคม เทียบกับระดับเพิ่มขึ้นเฉลี่ยราว 2,300 คนต่อวันในเดือนกุมภาพันธ์
ทิสโก้มองว่าพัฒนาการของสถานการณ์โควิด-19 ในปัจจุบันรุนแรงกว่าที่ประเมินไว้ในกรณีฐานเดิม ทั้งจากการแพร่ระบาดนอกประเทศจีนและตัวเลขเบื้องต้นของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางผ่าน 5 สนามบิน (สุวรรณภูมิ, ดอนเมือง, เชียงใหม่, หาดใหญ่ และภูเก็ต) ในเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคมหดตัวลงแรงกว่าที่ประเมินไว้ โดยในเดือนกุมภาพันธ์หดตัว -46% YoY และในเดือนมีนาคม (วันที่ 1-6) หดตัว -58%
ดังนั้นจึงได้มีการปรับลดสมมติฐานจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในกรณีฐานให้แย่ลง จากเดิมคาดว่าจะลดลงเพียง 2.2 ล้านราย (-5% YoY) มาเป็นลดลง 7.3 ล้านราย (-18%) ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2020 คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.5 ล้านคนเท่านั้น
โดยทิสโก้มองว่าสถานการณ์การท่องเที่ยวที่แย่ลง (ทั้งต่างชาติเที่ยวไทยและไทยเที่ยวไทย) จะส่งผลกระทบต่อพื้นที่ภาคกลางและภาคใต้มากที่สุด เนื่องจากเป็นแหล่งพื้นที่หลักของนักท่องเที่ยว โดยกว่า 80% ของเม็ดเงินการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติและเกือบ 60% ของการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวไทยกระจุกตัวในสองภูมิภาคดังกล่าว
จากรายได้ของภาคการท่องเที่ยวที่แย่ลงอย่างมีนัย กอปรกับห่วงโซ่การผลิตที่ได้รับผลกระทบจากการที่จีนปิดเมือง (Supply Disruption) รวมทั้งอุปสงค์ต่างประเทศที่อ่อนแอลง ทำให้ทิสโก้ปรับลดคาดการณ์ GDP ไทยในปี 2020 ลงมาอยู่ที่ 0.8% (จากคาดการณ์เดิมที่ 1.7%) โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะหดตัว YoY ในไตรมาส 1 และไตรมาส 2 ก่อนที่จะกลับมาขยายตัวเป็นบวกได้ในช่วงครึ่งหลังของปี
เรียบเรียง: จำเนียร พรทวีทรัพย์
ติดตามข่าวสารการลงทุนเพิ่มเติมได้ที่: www.efinancethai.com
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์