ณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์ ผู้อำนวยการอาวุโสที่ปรึกษาการลงทุนทิสโก้เวลธ์ ธนาคารทิสโก้ เปิดเผยว่า แม้ในปี 2023 จะมีความเสี่ยงเรื่องเศรษฐกิจถดถอย ความเสี่ยงที่เงินเฟ้อจะลดลงช้ากว่าที่คาด และความเสี่ยงจากการถอนสภาพคล่องของธนาคารกลางต่างๆ แต่ท่ามกลางวิกฤตล้วนแต่มีโอกาสการลงทุนซ่อนอยู่ และเริ่มมีข่าวดีที่สนับสนุนการลงทุน เช่น ประเทศจีนประกาศเปิดประเทศ เป็นปัจจัยหนุนให้เศรษฐกิจจีนรวมถึงประเทศในภูมิภาคอาเซียนฟื้นตัวได้ดีขึ้น
ขณะที่ราคาหุ้นบางประเทศ และราคาหุ้นบางกลุ่ม ได้ปรับลงมาตลอดปี 2022 ทำให้มูลค่าปรับลงมาต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี ซึ่งในทางสถิติราคาหุ้นมักจะสะท้อนภาวะเศรษฐกิจในอนาคตราว 6 เดือน – 1 ปี แสดงให้เห็นว่าตลาดได้รับรู้ความเสี่ยงในปี 2023 ไปพอสมควรแล้ว นอกจากนี้ บริษัทจดทะเบียนในบางประเทศและบางกลุ่มอุตสาหกรรมยังมีอัตราการเติบโตของกำไรที่สูงสวนกระแสเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว
ธนาคารทิสโก้จึงเชื่อว่าปี 2023 จะเป็นปีแห่งโอกาสในการลงทุน และเพื่อให้สะดวกต่อการจัดสรรพอร์ตการลงทุน ธนาคารทิสโก้จึงแบ่งธีมการลงทุนที่มีโอกาสสร้างกำไรสูงในปี 2023 จำนวน 3 ธีม ดังนี้
- High Potential Country เศรษฐกิจ-กำไร บจ.โตสูง ราคาหุ้นไม่แพง
เน้นลงทุนในประเทศที่มีศักยภาพในการเติบโตสวนกระแสการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจโลก โดยตลาดหุ้นที่มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นดีกว่าตลาดหุ้นโลก (Outperform) จะต้องเป็นตลาดหุ้นของประเทศที่เศรษฐกิจยังมีอัตราการเติบโตอยู่ในระดับที่สูง มีการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS Growth) ที่แข็งแกร่ง และที่สำคัญคือ มีมูลค่า (Valuation) ที่อยู่ระดับต่ำเพียงพอที่จะทำให้เกิดส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย (Margin of Safety) ในการลงทุน ได้แก่ ตลาดหุ้นจีน และเวียดนาม
โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดว่าเศรษฐกิจจีนจะขยายตัว 4.4% ขณะที่เวียดนามจะขยายตัวที่ 6.2% สวนทางกับเศรษฐกิจโลกที่คาดว่าจะขยายตัวเพียง 2.7% รวมถึงการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS Growth) ตลาดหุ้นจีนและเวียดนามปี 2023 ก็อยู่ระดับสูงที่ 17.3% และ 13.2% ตามลำดับ สวนทางกับตลาดหุ้นประเทศอื่นๆ ที่มีการเติบโตของผลประกอบการที่ชะลอตัวลง
- High Demand Sector ธุรกิจเมกะเทรนด์จำเป็นต่อโลก โตสวนเศรษฐกิจชะลอตัว
ในปี 2023 ช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว แนะนำให้มองหาการลงทุนในอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มขยายตัวได้ดีกว่าตลาดโดยรวม โดยควรเน้นลงทุนในกลุ่มที่สินค้าและบริการมีความต้องการในการใช้งานอยู่ในระดับสูงและเติบโตตามเมกะเทรนด์ของโลก ตลอดจนมีอำนาจในการปรับราคาสินค้าขึ้นตามภาวะเงินเฟ้อ (Pricing Power) ซึ่งจะส่งผลให้รายได้และกำไรของธุรกิจไม่ผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจ ได้แก่
- กลุ่มหุ้นเฮลท์แคร์ ที่ได้อานิสงส์จากสังคมผู้สูงอายุ และนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ก้าวหน้า
- กลุ่มเทคโนโลยีที่มีรายได้ประจำ (Recurring Income) จากค่าสมาชิก (Subscription) ของลูกค้าที่ใช้ประจำ และยังมีแนวโน้มขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นจากความต้องการใช้งาน เช่น คลาวด์ (Cloud Computing) และความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity) ที่เป็นรากฐานสำคัญของภาคธุรกิจตามเทรนด์ของ Digital Tranformation
- โครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค ที่เป็นสินค้ามีความจำเป็นและมีความต้องการสูง โดยได้รับแรงหนุนจากภาวะขาดแคลนพลังงานที่ได้รับผลกระทบจากสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนที่ยังคงยืดเยื้อ ทำให้แต่ละประเทศพยายามลดการพึ่งพาพลังงานเชื้อเพลิงแบบดั้งเดิม เพื่อเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจเข้าสู่การเป็น Net Zero Carbon
- High Stability Asset สร้างกำไรไม่หวั่นปัจจัยลบ
แนะนำให้ลงทุนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกา รับปัจจัยบวกจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูงในปี 2023 และมีโอกาสได้รับกำไรจากราคาพันธบัตรที่ปรับขึ้น รวมถึงทองคำที่มักจะสร้างผลตอบแทนได้ดีในช่วงเศรษฐกิจถดถอยและเงินเฟ้อทรงตัวอยู่ในระดับสูง และสามารถสร้างเสถียรภาพให้กับพอร์ตได้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- 8 หุ้นเนื้อทอง เซียนหุ้น รุมตอม ร่วมลงทุนติดอันดับผู้ถือหุ้นใหญ่
- 9 หุ้นสุดฮอต ค่า P/E Ratio สูงทะลุ 500 เท่า
- เช็ก! 10 หุ้น SETHD จ่ายเงินปันผลสูง