จะเกิดอะไรขึ้น? หากสหรัฐฯ แบน TikTok ที่ชาวอเมริกันใช้งานมากถึง 170 ล้านคน ตามรอยอินเดียประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกที่แบน TikTok ไปก่อนหน้านี้แล้ว
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า หลังจากมีความเคลื่อนไหวของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ลงมติเห็นชอบร่างกฎหมายฉบับหนึ่งในวันพุธที่ 13 มีนาคมที่ผ่านมา ที่จะบังคับให้ TikTok ต้องถูกขายพ้นมือบริษัทจีนผู้เป็นเจ้าของ ไม่เช่นนั้นจะถูกแบนจากสหรัฐฯ ก็ทำให้ผู้ใช้งาน TikTok ในสหรัฐฯ กว่า 170 ล้านคน กังวลว่าจะไม่ได้ใช้งานแอปยอดนิยมอีกต่อไป
ถึงกระนั้นกรณีดังกล่าวเคยเกิดขึ้นมาแล้วในอินเดีย ที่ออกคำสั่งห้ามไม่ให้ประชาชนเล่นแอปพลิเคชัน TikTok โดยให้เหตุผลว่าเป็นภัยคุกคามต่ออำนาจอธิปไตยและบูรณภาพของชาติ แต่ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่เกิดเหตุปะทะกันอย่างดุเดือดระหว่างทหารสองฝ่ายบริเวณชายแดนจีน-อินเดีย ทำให้มีทหารอินเดียเสียชีวิตอย่างน้อย 20 ราย ซึ่งในช่วงนั้นไม่เพียงแต่แบน TikTok เท่านั้น แต่ยังมีการแบนสินค้าจากจีนด้วยเช่นกัน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
ในช่วงนั้นผู้ใช้งาน TikTok กว่า 200 ล้านคนในอินเดียตกใจอย่างมาก และหลังจากที่อินเดียแบนแอป TikTok ไปไม่นาน สหรัฐฯ ก็แสดงออกและยกย่องถึงความกล้าในการตัดสินใจดังกล่าว
ภายหลังจากอินเดียแบน TikTok ไปก็สร้างความเจ็บปวดให้กับบรรดา TikToker ที่เคยทำรายได้เป็นกอบเป็นกำ เพราะหากย้อนไปในปี 2020 TikTok ได้รับความนิยมในอินเดียอย่างมาก ด้วยความเครียดและความกดดันจากโควิด จนต้องหันมาพึ่งพาสื่อบันเทิงจากแอป แถม TikTok ยังเป็นช่องทางที่เปิดโอกาสให้เป็นคนดังในโลกออนไลน์ได้อย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ กระแสการแบน TikTok นำไปสู่การสร้างโอกาสของแอปอื่นๆ ที่จะเข้ามารองรับฐานผู้ใช้เดิมจาก TikTok 200 ล้านคน โดยเฉพาะแพลตฟอร์ม Instagram ที่เปิดให้แบ่งปันภาพถ่ายและคลิป Reels หรือที่เรียกว่าวิดีโอสั้น ใช้งานได้คล้ายๆ กับ TikTok จากข้อมูลพบว่าในช่วงนั้นผู้ใช้งาน TikTok ในอินเดียโอนถ่ายข้อมูลเนื้อหาทั้งหมดไปยัง Instagram Reels และ YouTube Shorts อย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายนิติบัญญัติของสหรัฐฯ ได้แสดงความกังวลมานานแล้วว่า รัฐบาลจีนสามารถบังคับให้ ByteDance เจ้าของ TikTok ส่งข้อมูลที่รวบรวมจากผู้ใช้ชาวอเมริกันก็เป็นได้ ซึ่งมองว่าจะไม่มีความปลอดภัยต่อชาติ โดยแอปดังกล่าวอาจทำหน้าที่เป็นเครื่องมือในการเผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อ ทั้งในแง่ของข้อมูลที่คลาดเคลื่อน อาจมีอิทธิพลต่อชาวอเมริกัน ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเรายังต้องต่อสู้กับปัญหาเหล่านั้นไม่ว่าในอนาคตจะมี TikTok หรือไม่มีก็ตาม
อ้างอิง:
