วันนี้ (14 สิงหาคม) นพ.ทศพร เสรีรักษ์ ตัวแทนประชาชน เดินทางพบผู้บริหารโรงพยาบาลภูมิพล โดยขอให้ทางโรงพยาบาลชี้แจง กรณีบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าไม่ได้รับวัคซีน Pfizer ว่าเบื้องต้นยังไม่ได้รับคำชี้แจงจากฝ่ายบริหารของโรงพยาบาลภูมิพล พร้อมย้ำว่าการมาทวงในวันนี้เพราะต้องการให้บุคลากรการแพทย์ด่านหน้าได้วัคซีน Pfizer ทุกคน เพราะก่อนหน้านี้มีกลุ่มพยาบาลด่านหน้าอยู่กับผู้ป่วยติดเชื้อโควิดทุกๆ วัน ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่าไม่ได้รับการจัดสรรให้ฉีดวัคซีน Pfizer
ซึ่งโรงพยาบาลภูมิพลได้รับการจัดสรรมา 1,680 โดส แต่กลับพบว่ามีรายชื่อบุคคลอื่นๆ บางเอกสารมีรายชื่อซ้ำกัน โดยมีการเขียนลำดับ เลขกำกับ และลงนาย-นางสาวไว้เฉยๆ ไม่มีชื่อปรากฏ จึงทำให้เกิดข้อสงสัยว่าจะมีการนำวัคซีน Pfizer ไปฉีดกับบุคคลอื่นหรือไม่
เพราะจากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า มีบุคคล VVIP บางรายที่ได้รับการฉีดวัคซีน Pfizer ไปแล้วมีอาการข้างเคียง และไปรักษาที่โรงพยาบาลเอกชน
ขณะเดียวกันยังพบว่า มีข้อจำกัดสำหรับคนที่จะฉีดวัคซีน Pfizer ที่ต้องได้รับวัคซีน Sinovac 2 เข็ม หากใครไม่ครบก็จะไม่ได้ Pfizer ให้ ดังนั้นตนจึงตั้งข้อสังเกตว่ามีความพยายามต้องการให้มีวัคซีนเหลือให้มากที่สุด เพื่อนำไปฉีดให้บุคคลอื่นๆ ที่ไม่ใช่บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า
เมื่อถามว่าได้รับการชี้แจงจากโรงพยาบาลหรือไม่ หลังจากมีรายชื่อการสวมสิทธิ์ โดยตัวแทนพยาบาลเผยว่าเรื่องนี้มีการสอบถามไปแล้วยังต้นสังกัด แต่ยังไม่ได้รับคำตอบที่แน่นอน และก็ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้จัดสรรวัคซีน
นพ.ทศพร ยังระบุว่า อยากให้โรงพยาบาลออกมาชี้แจงเพื่อให้เกิดความโปร่งใส และจัดสรรวัคซีนให้ทั่วถึง หากได้รับการฉีดวัคซีน Pfizer ครบ ก็ไม่ติดใจอะไร เพราะที่มาวันนี้ก็ต้องการให้ด่านหน้าทุกคนได้รับวัคซีน Pfizer พร้อมชมเชยทุกคนที่กล้าออกมาเปิดเผยความจริงให้สังคมได้รับทราบ ขอให้ทุกคนอย่ารังแกพยาบาลที่เป็นด่านหน้า รวมถึงประชาชนทุกคนก็จับตามองในการจัดสรรวัคซีน Pfizer ที่ต้องยึดหลักความถูกต้อง
นพ.ทศพร ย้ำว่าโรงพยาบาลภูมิพลอยู่ในสังกัดกองทัพอากาศ ผู้บัญชาการทหารอากาศก็กินภาษีประชาชน ขณะนี้ไม่จำเป็นต้องเป็น ส.ส. ในสภาแล้วไปตรวจสอบรัฐบาลเท่านั้น แต่ประชาชนก็มีสิทธิ์ที่จะตรวจสอบเช่นกัน ทั้งนี้ก็เพื่อประโยชน์ของคนทั้งประเทศ ที่ผ่านมาส่วนตัวไม่เชื่อมั่นในระบบการบริหารจัดการวัคซีนของรัฐบาลอยู่แล้ว จากนี้จะขอตรวจสอบการจัดสรรวัคซีนในทุกโรงพยาบาล พร้อมทั้งทิ้งท้ายด้วยว่า หากเรื่องนี้ไปถึงหูสหรัฐอเมริกา และมองกลับมาที่ไทยแล้วยังมีเรื่องที่ไม่ชอบมาพากลที่ไม่ให้วัคซีน Pfizer กับบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าที่ควรได้รับก่อน ซึ่งทางสหรัฐอเมริกาก็คงไม่อยากให้วัคซีน Pfizer อีก แล้วหลังจากนี้ตนก็ไม่กล้าที่จะไปเดินหน้าขอวัคซีนจากหน่วยงานต่างๆ ให้ เพราะการจัดการแบบชุ่ยๆ เช่นนี้ ประเทศต้นทางที่ให้บริจาคให้มาก็คงจะไม่สบายใจ