*เปิดเผยเนื้อหาของซีรีส์*
ดำเนินมาถึงครึ่งทางแล้วสำหรับ Thirty-Nine ซีรีส์จากช่อง JTBC ที่กำลังเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ ในเอพิโสดที่ 7 กับเรื่องราวของเพื่อนสนิทในวัย 39 ปี ซึ่งต้องเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลงในชีวิตอย่างไม่ทันตั้งตัว หลังจากที่ทั้งสามคนรับรู้ว่าชานยอง (ชอนมีโด) ป่วยเป็นมะเร็งตับอ่อนระยะสุดท้าย ทั้ง มีโจ (ซนเยจิน) และ จูฮี (คิมจีฮยอน) จึงตัดสินใจที่จะดูแลชานยองให้ดีที่สุด
“แกช่วยเป็นคนป่วยระยะสุดท้ายที่ร่าเริงที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลกใบนี้ที”
ความตั้งใจของมีโจตั้งแต่วินาทีแรกที่รับรู้ข่าวร้ายของชานยอง คือการทำให้เพื่อนสนิทได้ใช้ชีวิตช่วงสุดท้ายอย่างมีความสุขที่สุด แต่แล้วการที่เธอคอยแต่นึกถึงชานยองมากเกินไป ก็กลายเป็นภาระหนักอึ้งที่มีโจเต็มใจแบกไว้เต็มสองบ่า รู้ตัวอีกทีเธอก็ลืมนึกถึงความสุขของตนเองไปชั่วขณะ
โชคดีที่ซอนอู (ยอนอูจิน) คอยอยู่เคียงข้างและให้กำลังใจมีโจเสมอ แม้ในตอนที่สถานะของพวกเขาจะเปลี่ยนจากเพื่อนร่วมงานมาเป็นคนรัก ซอนอูกลับไม่เคยเรียกร้องอะไรให้มีโจลำบากใจ เขายังคอยรักษาระยะห่างและไม่เคยเข้ามาก้าวก่ายการตัดสินใจของเธอเลยสักครั้ง แต่เมื่อไรที่มีโจต้องเผชิญหน้ากับความยากลำบาก ซอนอูก็พร้อมจะคอยอยู่เคียงข้างและไม่ทอดทิ้งเธอไปไหน
“ชามีโจโดนฉันฉุดเอาไว้ เลยต้องลำบากมากจริงๆ”
ด้านของชานยองที่แม้จะคอยออกปากไล่มีโจทุกครั้ง เมื่อเพื่อนรักคอยมาดูแลจนไม่มีเวลาไปใช้ชีวิตของตัวเอง แต่ลึกๆ ชานยองกลับรู้สึกดีเสมอ เมื่อมีโจและจูฮีคอยอยู่เคียงข้าง แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ต้องการให้อาการป่วยของตัวเอง ต้องเป็นภาระที่ฉุดรั้งเพื่อนสนิทเอาไว้
ชานยองอยากให้เพื่อนทั้งสองคนได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขที่สุด แม้ในวันที่เธอจากไปแล้วก็ตาม เธอจึงพยายามหาโอกาสให้มีโจได้ทำในสิ่งที่ชอบ โดยการเอ่ยชวนมีโจและซอนอูให้หาเวลาว่างไปตีกอล์ฟด้วยกัน เพราะชานยองรู้ดีว่าการที่มีโจทุ่มเทเวลาทั้งหมดไปกับการคอยดูแลเธอ ทำให้มีโจไม่มีโอกาสได้กลับไปทำในสิ่งที่รักเช่นเดิม
นอกจากนั้นเพื่อไม่ให้เพื่อนทั้งสองคนต้องคอยเป็นห่วงมากจนเกินไป ชานยองจึงเลือกแสดงออกแต่ด้านที่เข้มแข็ง เมื่อต้องอยู่ต่อหน้ามีโจและจูฮี แต่ภายในใจของชานยอง เธอต้องแบกรับความกลัวที่ถาโถมเข้ามาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะยิ่งเวลาในชีวิตเหลือน้อยลงเท่าไร เธอก็ยิ่งหวาดกลัวความตายที่ใกล้เข้ามาทุกที
“แปลกจัง ฉันเคยเบื่อร้านซักรีดมากเลย ปกติฉันจะเอาผ้าใส่เครื่องแล้วไปกินข้าว หรือไม่ก็ไปกินกาแฟตลอด แต่ตอนนี้มันสนุกขนาดนี้ได้อย่างไรนะ”
จากสิ่งรอบตัวที่เคยดูธรรมดาก็กลายเป็นความพิเศษที่ชานยองไม่อยากสูญเสียไป ทั้งกิจวัตรประจำวันแสนเบื่อหน่ายที่เธอเห็นคุณค่าของสิ่งเหล่านั้นมากขึ้น รวมทั้งคนรอบข้างที่อยู่ด้วยกันจนเคยชิน ก็กลับห่วงหาและไม่อยากจากกันไปไหน
ยิ่งเวลาในชีวิตเหลือไม่มาก ยิ่งทำให้เธอนึกเสียดายหลายสิ่งหลายอย่างที่ยังไม่ได้ลงมือทำ โดยเฉพาะความฝันในการเป็นนักแสดงที่ชานยองคอยผัดวันประกันพรุ่ง และไม่กล้าลงมือทำเสียที
ย้อนกลับไปในช่วงวัยรุ่น ชานยองมีความฝันที่จะเดินบนเส้นทางของการเป็นนักแสดง แต่เพราะผิดหวังในการออดิชันมาหลายต่อหลายครั้ง รวมทั้งอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจนทำให้เธอพลาดการออดิชันครั้งสำคัญ ก็กลายมาเป็นเหตุการณ์ฝังใจที่ทำให้ชานยองเลือกผันตัวมาเป็นครูสอนการแสดง และเก็บความฝันของตัวเองไว้เพียงคนเดียว รู้ตัวอีกทีเวลาก็ผ่านพ้นมาจนถึงตอนที่เธออายุ 39 ปี
ความฝันที่ชานยองเคยทำหล่นหาย ถูกนำกลับมาปัดฝุ่นและลงมือทำอย่างตั้งใจอีกครั้ง เธอตัดสินใจไปออดิชันในวัย 39 ปี แล้วก็สามารถคว้าโอกาสครั้งสุดท้ายในชีวิตไว้ได้สำเร็จ
เรื่องราวของชานยองทำให้เราได้ทบทวนความจริงที่ว่า บนโลกนี้ไม่เคยมีอะไรแน่นอน และบางครั้งชีวิตก็อาจสั้นกว่าที่เราคาดคิด ดังนั้นหากมีความฝันที่อยากลงมือทำ มีคนรักที่อยากโอบกอด หรือมีมิตรภาพดีๆ ที่อยากเอ่ยขอบคุณ ก็ควรรีบลงมือทำในตอนที่ยังมีโอกาส เพราะเราอาจไม่โชคดีแบบชานยองที่มีโอกาสได้แก้ตัว ก่อนช่วงสุดท้ายของชีวิตจะมาถึง
รับชมซีรีส์ Thrity-Nine ตอนใหม่ พร้อมซับไตเติลไทยทุกวันพุธและพฤหัสบดี เวลา 22.00 น. ทาง Netflix