สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ เพิ่งเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจไทย (GDP) ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2568 ว่าขยายตัวแค่ 1.2% เท่านั้น
ที่ผ่านมา รัฐบาลพยายามขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยการดึงนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยุคใหม่อย่าง ยานยนต์ไฟฟ้า (EV), เซมิคอนดักเตอร์ และ Data Center ให้มาตั้งฐานการผลิตในไทย แต่การมาของพวกเขานั้นกลับไม่ได้เชื่อมซัปพลายเชนเข้ากับผู้ผลิตหรือผู้ประกอบการไทยเท่าที่ควร ชิ้นส่วนสำคัญยังเป็นการนำเข้ามาจากต่างประเทศเป็นหลัก แรงงานบางส่วนของไทยก็ยังไม่มีความพร้อมด้านทักษะ มูลค่าเพิ่มที่ประเทศไทยได้รับจากการเข้ามาตั้งโรงงานจึงน้อยกว่าที่คิด ส่งผลให้ตัวเลขเศรษฐกิจไม่ได้โตอย่างที่หวัง
ในงาน THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2025: Thailand’s Next Frontier พรมแดนใหม่เศรษฐกิจไทย บนเวทีเสวนา Future Supply Chain: Thailand’s Gateway to Next-Gen Industries ที่ได้ Cedric Cui President, OMODA & JAECOO (Thailand) Co., Ltd ,ดร.วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร จากพรรคประชาชน และ ดร.วิบูลย์ รักสาสน์เจริญผล รองเลขาธิการ สภาอุตสาหกรรมฯ และเลขาธิการกลุ่มอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ได้ร่วมแลกเปลี่ยนและถกเถียงกันในประเด็นนี้ว่า ไทยจะต้องตั้งโจทย์การดึงดูดนักลงทุนต่างชาติหรือ FDI ใหม่ โดยต้องคำนึงว่า ทำอย่างไรให้การลงทุนต้องไม่ใช่แค่ตั้งโรงงาน แต่ต้องสร้างมูลค่าเพิ่มภายในประเทศ ทั้งในด้านเทคโนโลยี การจ้างงาน และการยกระดับผู้ประกอบไทยไปพร้อมกัน
เศรษฐกิจไทยไม่ขยับ เพราะพึ่งส่งออกสูง
ดร.วีรยุทธ เริ่มต้นด้วยการอธิบายว่า เรามักชื่นชมญี่ปุ่นหรือจีนด้านการส่งออก แต่สัดส่วน การส่งออกต่อ GDP ของทั้งสองประเทศอยู่ที่ประมาณ 20% เท่านั้น ส่วนเกาหลีใต้อยู่ที่ประมาณ 40% เมื่อเทียบกับไทยพบว่า สัดส่วนการส่งออกของไทยสูงถึงประมาณ 60-70% ของ GDP ตัวเลขนี้ไม่ใช่สัญญาณว่าไทยส่งออกเก่งกว่า จีน ญี่ปุ่นหรือเกาหลี แต่สะท้อนว่า เศรษฐกิจไทยพึ่งพาการส่งออกสูงเกินไป จนเศรษฐกิจภายในประเทศไม่แข็งแรงพอ เศรษฐกิจไทยเหมือนร่างกายที่พึ่งวิตามินหรือกินยาจากภายนอก แต่ยังไม่ได้วิ่งด้วยขาของตัวเอง
ดังนั้น เขาจึงชวนตั้งหลักใหม่ ยุทธศาสตร์ไทยต้องกลับมาเพิ่มความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจภายในประเทศ ซึ่งทำได้ 3 ทาง ได้แก่ เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในประเทศให้สูงขึ้น, รัฐต้องลงทุนสิ่งที่โน้มนำให้เอกชนอยากลงทุนตามในอุตสาหกรรมใหม่ และทำให้การบริโภคในประเทศยกระดับการผลิต
ด้าน ดร.วิบูลย์ ให้ความเห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้างว่า เครื่องยนต์เศรษฐกิจทั้ง 4 ตัว การส่งออก, การลงทุนจากต่างชาติ, การใช้จ่ายภาครัฐ และการบริโภคภายในประเทศ ยังไม่ทำงานอย่างสมดุล และเป็นโจทย์ที่ต้องแก้ให้ได้
ส่วนเรื่องการส่งออก เขาคิดว่า ส่งออกมากหรือส่งออกน้อยไม่สำคัญเท่ากับขายของถูกหรือขายของแพง
“ผมอยากเห็นประเทศไทยเริ่มที่จะขายของแพง จำนวนส่งออกมากอาจจะเป็นปลาทูน่าแช่แข็ง ในขณะที่อเมริกาส่งออกการ์ดจอ GPU คือผมอยากเห็นประเทศไทยเข้าสู่ High Tech Ecosystem”
“กระแสของ Semiconductor โซนที่ประเทศไทยมีส่วนร่วม คือกระบวนการที่ต่างชาติหรือบริษัทใหญ่ผลิตวงจรรวม (IC) เสร็จแล้วส่งมาให้เราทดสอบ ด้วยค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ เพราะถ้าพวกเขาจะทดสอบเองจะไม่คุ้ม ผมไม่อยากได้ยินคำว่าไม่คุ้ม ผมอยากเห็นว่าพวกเขาส่งมาให้เราทำเพราะเราเก่ง” เขากล่าว
ดังนั้น หากไทยอยากขยับเข้าไปสู่ High Dollar Ecosystem ในมุมมองของ ดร.วิบูลย์ ทำได้ 2 วิธี วิธีแรก คืออยู่ที่เดิมแต่ทำของแพงขึ้น วิธีที่สองคือขยับจากงาน Testing หรือทดสอบเข้าไปสู่งาน Design หรือ การออกแบบ
“แทนที่จะผลิตแผงวงจรพิมพ์เปล่า (PCB) ราคาถูก ที่มักใช้ในอุปกรณ์ไฟฟ้าทั่วไปอย่างไมโครเวฟ ซึ่งมีราคาต่อแผ่นเพียงไม่กี่สิบสตางค์ อุตสาหกรรมไทยควรมุ่งสู่การผลิตแผงวงจรประกอบสำเร็จ (PCBA) ที่ติดตั้งชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์พร้อมใช้งาน โดยเฉพาะสำหรับชิ้นส่วนสำคัญอย่างหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) ซึ่งใช้ในผลิตภัณฑ์ของบริษัทระดับโลก เช่น บริษัทของ Jensen Huang ผู้ก่อตั้ง NVIDIA งานลักษณะนี้มีมูลค่าสูงและต้องใช้ทักษะเฉพาะทางขั้นสูง”
ผู้ผลิตรถจีนต้องการอะไรจากผู้ประกอบการไทย
ประเด็นไทยจะเข้าไปอยู่ในซัปพลายเชนอุตสาหกรรมรถ EV ได้หรือไม่นั้น Cedric Cui ให้ความเห็นว่า ตอนนี้รัฐบาลไทยวางรากฐานสำคัญเอาไว้แล้ว หากต้องสร้างซัปพลายเชนในไทย ก็มีอุปสงค์ภายในประเทศรองรับอยู่ ทำให้ผู้ผลิตมีความเชื่อมั่นมากขึ้น
แต่ในด้านการเสริมความแข็งแรงของซัปพลายเชนในไทย Cedric มองเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยเวลาและความพร้อม ยกตัวอย่าง ชุดควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ (EDU) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของรถยนต์ไฟฟ้า ต้องใช้แรงงานที่มีทักษะสูง ต้องมีการฝึกอบรมเฉพาะทาง รวมถึงต้องมีเครื่องมืออุปกรณ์ขั้นสูงด้วย ดังนั้นการลงทุนเพื่อสร้างศักยภาพเหล่านี้ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของบริษัทว่า คุ้มค่าหรือไม่และ มีความต้องการระยะยาวที่เพียงพอหรือเปล่า
ส่วนเรื่องการเพิ่มมูลค่าซัปพลายเชนไทย จากสินค้ามูลค่าต่ำไปสู่สินค้ามูลค่าสูง เขาคิดว่าโอกาสอยู่ตรงหน้าเราแล้ว อุตสาหกรรมรถ EV จะพัฒนาขึ้นไปอีก ทั้งด้านเทคโนโลยีแบตเตอรี่และนวัตกรรมอื่น ๆ หากไทยรักษาอุปสงค์ในประเทศให้เติบโตต่อเนื่อง ซัปพลายเชนจะค่อย ๆ แข็งแรงขึ้น และเมื่อไทยมีความสามารถแข่งขันได้จริง การส่งออกจะเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ
“อุปสงค์ภายในประเทศสำคัญมาก สำหรับเรา และนโยบายภาครัฐก็สำคัญไม่แพ้กัน ปัจจุบันของรัฐบาลไทยกำหนดให้ต้องใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศอย่างน้อย 40% ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงมาก เมื่อเทียบกับนโยบายของประเทศอื่นในเอเชีย และเราเองก็ต้องการจะทำให้ได้สูงกว่านั้น เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาภาวะเงินเฟ้อหรือราคาผันผวน โดยเป้าหมายสูงสุดของ OMODA & JAECOO คือ ขยับสัดส่วนการใช้ชิ้นส่วนในประเทศไทยไปให้ได้ถึง 50–60%” เขากล่าว
อุตสาหกรรมไหนไทยเข้าไปเชื่อมได้?
เพื่อยกระดับการสร้างมูลค่าเพิ่มในประเทศ ดร. วีรยุทธเสนอแนะว่า ไทยต้องสร้าง Ecosystem ด้าน High-tech ของไทยให้เชื่อมโยงกันมากขึ้น ไม่ใช่แค่นำเข้าสินค้าประกอบ ส่งออก เหมือนที่ผ่านมา
โดยอาจเริ่มจากฐานการผลิตเดิมที่มีอยู่แล้ว เช่น เปิดช่องให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ สามารถไปเชื่อมกับอุตสาหกรรมอื่นที่มีโอกาส เช่น เครื่องมือทางการแพทย์ ได้
ที่ผ่านมามีข้อเสนอว่าไทยควรสร้าง Wellness Economy ดร.วีรยุทธเห็นด้วย แต่เตือนว่า ไทยจะต้องไม่เป็นเพียงผู้ให้บริการ เพราะถ้าคิดแค่นั้น จะไม่ต่างจากตอนทำฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ ที่เรามีเพียงแรงงานประกอบสินค้า ทำให้มูลค่าเพิ่มที่เกิดขึ้นในประเทศมีอยู่น้อยมาก ดังนั้น ถ้าไทยจะทำ Wellness Economy จริงๆ ต้องคิดให้ลึกกว่าการเป็นเพียงผู้ให้บริการ และนำเข้าอุปกรณ์จากที่อื่นทั้งหมด แต่ควรคิดต่อว่าประเทศไทยจะทำ Medical Devices และอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับบริการสาธารณสุขอย่างไร โดยอาจเริ่มจากสิ่งที่ทำได้ก่อน เช่น อุปกรณ์ที่ใช้แล้วทิ้ง หรือแม้แต่เก้าอี้หมอฟัน
ที่ผ่านมา ผู้ประกอบการในกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์เองก็ยืนยันว่าสามารถทำได้ เพียงแต่ยังไม่เคยทำ เพราะไม่มีดีมานด์ที่ชัดเจน ดังนั้นภาครัฐจึงมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นดีมานด์ให้เกิดขึ้นจริง และเปิดโอกาสให้เอกชนได้แข่งขันกันอย่างเสรี
ในอีกมุมหนึ่งสมาร์ทอิเล็กทรอนิกส์ก็เป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่มีความสำคัญ แม้ว่าเราจะยังไม่สามารถผลิตชิประดับสูงแบบที่ TSMC ผลิตได้ในตอนนี้ แต่ยังมีชิปประเภทอื่นในกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ที่มีศักยภาพไปอยู่ในอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าทั่วไป ที่ไม่ได้มีความซับซ้อนทางเทคโนโลยีมากนักได้
อีกทางหนึ่งเขาเสนอให้เปลี่ยนสังคมสูงวัยให้เป็นเศรษฐกิจของประเทศ เพราะมีอุปกรณ์สำหรับดูแลผู้สูงอายุหลายส่วนที่ไทยสามารถลงไปเป็นผู้เล่นได้ ทั้งเฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์เสริมความงาม สิ่งเหล่านี้มีผู้ประกอบการ SMEs ไทยทำอยู่แล้ว
ไทยต้องลงแข่งในสนามที่ตัวเองมีโอกาส
เมื่อพูดถึงความเป็นไปได้ที่ไทยจะขยับเป็น High-Dollar Economy ดร.วิบูลย์ กล่าวว่า “ที่ผ่านมาไทยให้สิทธิประโยชน์เพื่อดึงให้ต่างชาติเข้ามาตั้งโรงงาน แล้วขายสินค้าให้คนไทยในราคาถูก เช่น รถ EV ราคาประหยัด แต่ด้านที่หายไปคือ ยุทธศาสตร์ Domestic Procurement หรือการทำให้การลงทุนเหล่านี้เชื่อมโยงกับผู้ประกอบการไทย
ดังนั้น สิ่งที่ควรทำควบคู่กันคือ เมื่อมีการลงทุนจากต่างประเทศเข้ามา ต้องดูว่าในซัปพลายเชน มีชิ้นส่วนไหนควรผลิตในไทย จากนั้นรัฐต้องทำงานเชิงวิศวกรรม เช่น การทำแผนที่ซัปพลายเชน ระบุช่องว่างเพื่อบอกว่าไทยจะเข้าไปจุดไหน แล้วออกนโยบายให้ผู้ผลิตไทยเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของซัปพลายเชนของค่ายต่างชาติ
เมื่อถามว่าผู้ประกอบไทยมีความพร้อมหรือไม่ที่จะเข้าไปอยู่ในซัปพลายเชนได้ ดร.วิบูลย์อธิบายว่า ขึ้นอยู่กับจะไปเป็นซัปพลายเออร์ให้ใคร กรณี เป็นซัปพลายเออร์ให้ตลาด EV ไทยพร้อมด้านเทคโนโลยี แต่แพ้ตั้งแต่ต้นเกมเพราะราคา
“ที่ราคาของเราสู้เขาไม่ได้ จริงๆ มันไม่ใช่เพราะว่า Productivity ของเราต่ำกว่า หรือเราไม่มี Economy of Scale แต่ จีนมีการอุดหนุนจากรัฐบาล และนี่คือเหตุผลที่ทำให้ ต่อให้เราทำเก่งแค่ไหน ก็สู้ราคาเขาไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าวันนี้ผมไปตั้งโรงงานผลิตชิ้นส่วนรถ EV ในจีน ผมอาจจะไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเลยทั้งตัวอาคาร ทั้งที่ดิน ทุกอย่างฟรีหมด แล้วพอผมไปซื้อชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศจีนมาใช้ต่อ ผมก็ได้รับเงินอุดหนุนเพิ่มอีก
ถ้าไปดูงบกำไรขาดทุนของบริษัทที่ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ให้กับรถ EV จะเห็นว่ามีสัดส่วนของเงินอุดหนุนสูงถึง 30-40% เพราะฉะนั้น อย่าไปพูดถึงเรื่อง Economy of scale เลยครับ ไม่ว่าจะผลิตทีละชิ้น หรือทีละร้อยชิ้น มันก็ไม่มีทางสู้ได้อยู่ดี”
ในบริบทเช่นนี้ ดร. วิบูลย์ จึงแนะนำให้หันไปทำตลาดที่แข่งขันกันด้วยสมองไม่ใช่ด้วยเงินอุดหนุนอย่าง Data Center GPU ที่เกี่ยวข้องกับ AI โดยตรง นี่เป็นตลาดที่ถ้าคุณมีนวัตกรรม มีศักยภาพจริง เขาก็พร้อมจะซื้อจากคุณทันที โดยไม่สนว่าคุณจะมาจากประเทศไหน
“และผมเองก็ชื่นชอบการแข่งขันในลักษณะนั้นมากกว่า เพราะมันแฟร์กว่า และเปิดโอกาสให้กับคนที่มีความสามารถจริงๆ”
High Tech Ecosystem ไทยต้องสร้างอย่างไร
สำหรับการสร้าง High Tech Ecosystem ให้เกิดขึ้นได้จริงในไทยนั้น Cedric Cui กล่าวว่า ต้องเริ่มจากการมองว่า เทคโนโลยีขั้นสูงที่สุดในโลกตอนนี้คืออะไร การเรียนรู้จากผู้ที่เก่งกว่าเสมอดีกว่าการเริ่มต้นจากศูนย์ หนึ่งในประเด็นเทคโนโลยีที่สำคัญคือ Autonomous Driving หรือ รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ ซึ่งเป็นหัวข้อใหญ่ทั่วโลก โดยเฉพาะในจีนซึ่งเป็นศูนย์กลาง
“ผมเพิ่งร่วมเวทีเสวนากับผู้ก่อตั้งบริษัท Horizon ซึ่งเป็นซัปพลายเออร์ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติรายใหญ่ที่สุดของโลก รถขับอัตโนมัติไม่ได้แค่เพิ่มความสะดวก แต่ความปลอดภัยคือหัวใจหลัก สำหรับกรุงเทพฯ ที่มีมอเตอร์ไซค์จำนวนมาก ระบบนี้ช่วยลดอุบัติเหตุ และยังสามารถเปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรมรถยนต์ ให้รถเป็นสินค้าส่วนบุคคลมากขึ้น พร้อมระบบสาระบันเทิงและข้อมูลที่รองรับชีวิตระหว่างเดินทาง เทคโนโลยีเหล่านี้จะพลิกอนาคตยานยนต์ใน 5–10 ปีข้างหน้า”
ด้าน ดร.วิบูลย์ มองว่า สิ่งสำคัญหลังจากนี้ คือการวางยุทธศาสตร์ให้เศรษฐกิจไทยเดินหน้าด้วยเครื่องยนต์เศรษฐกิจตัวใหม่ ที่เกิดจากการบูรณาการเครื่องยนต์เดิมทั้ง 4 ตัว คือ FDI การส่งออก การบริโภคภายในประเทศ และการใช้จ่ายภาครัฐ เข้าด้วยกันเพื่อสร้างเครื่องยนต์ที่ 5 คือ High-tech Economy
นอกจากนี้เราต้องวิเคราะห์ FDI อย่างเป็นระบบ โดยนำรายชื่อธุรกิจที่ขอรับการส่งเสริมจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) มาศึกษา เพื่อหาว่าอุตสาหกรรมไหนที่ไทยสามารถเข้าไปแข่งขันและผลิตชิ้นส่วนได้ง่ายที่สุด โดยทำได้ด้วยต้นทุนที่ประหยัดที่สุด
แนวทางนี้จะช่วยให้เกิดผลลัพธ์แบบ Low input-High output ใช้งบน้อยแต่ได้ผลมาก และยังเป็นการเชื่อมเครื่องยนต์เศรษฐกิจด้านการลงทุนจากต่างประเทศ เข้ากับการจัดซื้อจัดจ้างภายในประเทศ เพื่อให้ทั้งสองส่วนทำงานสอดประสานกัน
สำหรับแนวทางปฏิบัติ เขาเชื่อว่าการสนับสนุนการใช้จ่ายของภาครัฐนั้นสำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการสร้าง High-tech Ecosystem เพราะเราไม่สามารถสร้างเครื่องยนต์เศรษฐกิจด้านไฮเทคได้เลย หากปราศจากบทบาทของรัฐ
“ในช่วงแรกของการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ประเทศไทยยังอยู่ในสถานะที่ด้อยกว่าในด้านเทคโนโลยี ดังนั้น การเริ่มต้นผลักดันสินค้าและบริการไฮเทคจำเป็นต้องมี ผู้รับความเสี่ยงแทน หรือผู้ที่ยอมเป็นผู้ใช้งานรายแรก ซึ่งก็คือภาครัฐ การอัดฉีดจากภาครัฐจึงเป็นก้าวสำคัญของการเริ่มสร้างระบบเศรษฐกิจไฮเทคของไทย”ขณะที่ ดร.วีรยุทธ์ ปิดท้ายไว้อย่างน่าสนใจว่า นี่เป็นโอกาสและช่วงเวลาที่ดี ที่ไทยจะปรับยุทธศาสตร์เศรษฐกิจใหม่ โดยเสนอแผนนโยบาย 3 ข้อ
ข้อแรก เวลาเห็นข่าวตัวเลขส่งออกสูงสุดเป็นประวัติการณ์เราไม่ควรดีใจจนเกินไป “ผมคิดว่าตัวเลขเหล่านี้มันเป็นจุดที่เราต้องทบทวนว่าเรามีจุดแข็งจุดอ่อนยังไงและเศรษฐกิจภายในของเราแข็งแรงหรือไม่ ซึ่งผมคิดว่ามันไม่แข็งแรง ผมเชื่อว่าเศรษฐกิจของเราต้องกลับมาเป็นเสือ ที่สามารถวิ่งด้วยขาของตัวเองได้จริง ๆ ถึงจะสามารถไปต่อได้”
ข้อสอง ไทยต้องซ่อมบ้านตัวเองให้แข็งแรง ทำให้คนในประเทศอยากลงทุนก่อน การดึง FDI เข้ามาจะไม่ยั่งยืน หากคนไทยยังไม่กล้าลงทุนในประเทศ สิ่งที่ต้องทำคือสร้างสภาพแวดล้อมที่โปร่งใสและน่าเชื่อถือ เพื่อให้คนที่พร้อมลงทุนไม่ว่าจะเป็นไทยหรือต่างชาติ กล้าเข้ามาลงทุน และเกิดการแข่งขันที่เป็นธรรม
สุดท้ายเขาให้ความเห็นว่าไทยยังติดกรอบ Made in Thailand มากเกินไป เราพยายามดึงทั้ง FDI และซัปพลายเชนเข้ามาให้ครบทั้งหมด ซึ่งเขาคิดว่าความคิดแบบนี้ไม่เหมาะกับโลกยุคใหม่
“ผมอยากเสนอให้ปรับวิธีคิดจาก Made in Thailand ให้เปลี่ยนเป็น Made with Thailand คือคิดว่าเราจะไปเป็นส่วนประกอบส่วนไหนในซัปพลายเชนนั้นๆ โดยเราต้องประเมินแต่ละจุดว่าไทยสามารถเข้าไปมีบทบาทได้ตรงไหน การที่จะเป็นศูนย์กลางการผลิต จริงๆ ต้องเป็นสิ่งที่โลกขาดเราไม่ได้ในจุดนั้น ไม่จำเป็นต้องทำทั้งหมด หากเราเชี่ยวชาญส่วนใดส่วนหนึ่ง เช่น เซ็นเซอร์ในรถยนต์ เมื่อเรามีความเก่งในจุดนั้น โลกก็ต้องพึ่งพาเรา”


