เช้าตรู่ของเดือนกันยายน เคน-ธีรเดช วงศ์พัวพันธ์ เดินเข้ามาแบบสบายๆ พร้อมกระเป๋าหนังสีน้ำตาลใบใหญ่ รอยยิ้มใต้เคราบางๆ ในวัย 40 ปี ที่แม้ว่าหางตาและใบหน้าจะไม่ได้ตึงเปรี๊ยะ แต่เชื่อเถอะว่า เขายังคงเป็นคุณพ่อลูกสองที่ดูดี สมวัย หลังจากได้ใช้เวลาในวงการบันเทิงพร้อมภาพจำ ‘พระเอกยอดนิยม’ มาครบ 20 ปี
เขาเปิดอกยอมรับอย่างเข้าใจ ในวันที่ผลงานภาพยนตร์ไทยเรื่องใหม่กำลังเตรียมตัวเข้าฉายว่า ณ ตอนนี้ ตนเองไม่ใช่พระเอกฮอตฮิตอันดับต้นๆ ของประเทศอย่างที่เคยเป็นอีกแล้ว
ขณะเดียวกันในวันที่เติบโตไปอีกขั้น เคน ธีรเดช นั้นภูมิใจในประสบการณ์ชีวิต ว่ามีคุณค่าและราคาเกินกว่าจะถูกทิ้งขว้างไปง่ายๆ ที่สำคัญที่สุด พระเอกพ่อลูกสองอย่างเขา ยังคงรอคอยชิ้นงานใหม่ๆ ที่จะท้าทายความสามารถอยู่เสมอ
ยิ่งเมื่อได้คุยลึกลงไปถึงสถานะสามีและคุณพ่อ เขาก็บอกกับเราอย่างตรงไปตรงมาว่า “ครอบครัวทำให้ตนเองเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ขึ้น เข้าใจมนุษย์มากขึ้น และยอมรับคนอื่นได้ง่ายขึ้น”
ลองมองลึกเข้าไปในดวงตาของเขา แล้วอ่านความคิดในวันที่เสียงกรี๊ดของสาวๆ เริ่มสร่างซา …เรากลับรู้สึกว่าวัย 40 ต่างหาก คือฤดูกาลที่น่าค้นหา และเหมาะจะทำความรู้จักกับผู้ชายชื่อ เคน ธีรเดช มากที่สุด
เวลามีคนถามว่าอยากเล่นบทแบบไหน ผมก็ไม่รู้หรอก แต่อยากเล่นในสิ่งที่มันสมวัยเราหน่อย อย่าง ‘The Pool นรก 6 เมตร’ ประเด็นในหนังมันใหม่สำหรับเราเหมือนกัน เพราะมันเป็นหนังสถานการณ์เดียว มีโลเคชันเดียว หนังฝรั่งเราเห็นมาเยอะแล้ว แต่ถ้าหนังไทยเรายังไม่เคยเห็น
จำได้ว่าล่าสุดคุณให้สัมภาษณ์ในงานแถลงข่าวเปิดตัว The Pool นรก 6 เมตร เมื่อเร็วๆ นี้ว่า สาเหตุที่ห่างหายจากงานภาพยนตร์ไทยไปถึง 9 ปี เพราะที่ผ่านมายังไม่มีบทที่ท้าทายให้เล่น ประโยคนี้บอกอะไรที่เกี่ยวกับตัวคุณในวันนี้หรือในรอบหลายปีนี้ได้บ้าง
มันหลายๆ อย่างครับ อย่างเรื่องงาน ด้วยความที่เราโตขึ้น บทที่เหมาะสำหรับนักแสดงในวัยอย่างเรามันค่อนข้างจำกัดและมีน้อยลง เพราะด้วยวุฒิภาวะของละคร ถ้าอ่านจากนิยายดั้งเดิม จะเห็นได้ว่าพระเอกมักจะอายุไม่เกิน 30 มันจะเป็นเรื่องราวความรักของคนในช่วงวัยหนึ่งที่ชีวิตกำลังเริ่มต้น ซึ่งคนดูส่วนใหญ่ก็อยากจะเสพเรื่องราวเหล่านั้น
แต่พอเราโตขึ้น อย่างตอนนี้ผมอายุ 40 มีครอบครัวแล้ว มีลูกแล้ว ถ้าพูดกันจริงๆ วุฒิภาวะของผมเลยช่วงเวลานั้นไปหมดแล้ว แต่บทละครหรือสิ่งที่คนจะเสพมันยังไม่มีอะไรที่เหมาะกับคนวัยอย่างผม อ้าว แล้วคนที่แต่งงานชีวิตคู่เขาเป็นอย่างไร คนที่มีลูกแล้วชีวิตเขาเป็นอย่างไร แต่ถ้าเป็นงานของฝรั่ง เราจะเห็นว่ายิ่งโตก็ยิ่งมีบทหลากหลายขึ้นตามประสบการณ์ชีวิต
แต่ด้วยความที่ระบบเป็นแบบนี้ สิ่งที่เราทำได้คือ ต้องพยายามเลือกหรือปรับ อย่างงานละครผมก็ต้องไปคุยว่าถ้าบทประมาณนี้ เราจะทำอย่างไรให้ตัวเองสามารถลิงก์กับบทนี้ได้ ตัวละครมันต้องไม่ใช่คนอายุ 30 แล้วนะ เพราะผมก็ต้องแสดงเป็นคนที่เหมาะตามวัยของผม
เช่นเดียวกับงานภาพยนตร์ ส่วนใหญ่ที่ติดต่อมาจะเป็นแนวโรแมนติกคอเมดี้ ซึ่งเราเคยทำมาแล้ว เลยคิดว่า ถ้าเรามีโอกาสได้เล่นหนังอีกสักครั้ง เราอยากทำอะไรที่ไม่เหมือนเดิมบ้าง ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้จะเล่นไปทำไม
นักแสดงฝรั่งเขาเลือกบทตามวัย สมมติ โรเบิร์ต เดอ นิโร ตอนนี้อายุ 75 เขาเล่นเป็นพ่อ เป็นมาเฟีย แต่ก็ยังเป็นตัวหลัก คือจะให้เขาไปเล่นเป็นตัวประกอบมันก็ไม่ใช่เช่นเดียวกัน ถ้าบ้านเราเป็นอย่างนั้นได้มันดีกว่า อาชีพนักแสดงก็จะยาวไกลขึ้น คนดูเองก็ได้ชมอะไรมากขึ้นกว่าการได้เห็นละครหรือภาพยนตร์ที่มีแค่เรื่องของคนอายุประมาณ 15-30
แสดงว่า The Pool นรก 6 เมตร ตอบโจทย์ความท้าทายในส่วนนี้
เวลามีคนถามว่า อยากเล่นบทแบบไหน ผมก็ไม่รู้หรอก แต่อยากเล่นในสิ่งที่มันสมวัยเราหน่อย อย่าง The Pool นรก 6 เมตร ประเด็นในหนังมันใหม่สำหรับเราเหมือนกัน เพราะมันเป็นหนังสถานการณ์เดียว มีโลเคชันเดียว
หนังฝรั่งเราเห็นมาเยอะแล้ว ที่ทั้งเรื่องมีโลเคชันเดียว สถานการณ์เดียว ยกตัวอย่าง Phone Booth (2002) หรือ 127 Hours (2010) ที่พระเอกต้องแก้ไขสถานการณ์อยู่ในตู้โทรศัพท์คนเดียวตลอดทั้งเรื่อง แต่ถ้าหนังไทยเรายังไม่เคยเห็น
วันหนึ่งพอ พี่พิง ลำพระเพลิง โทร.มาเล่าให้ฟังว่า มีหนังเป็นคนติดอยู่ในสระว่ายน้ำกับแฟนแล้วออกไม่ได้ทั้งเรื่อง เฮ้ย! จริงเหรอพี่ ในใจคือเราชอบเลย เพราะฟังแล้วมันเกิดคำถามว่า เรื่องราวมันเป็นอย่างไร ติดอยู่ก้นสระแล้วมันจะออกมาอย่างไร ผมรู้สึกว่า นี่แหละคือสิ่งที่เราต้องการ
ฟังผู้กำกับเล่ากับเห็นบทจริงแบบเต็มๆ ความรู้สึกยังตื่นเต้นเหมือนเดิมไหม
ยังตื่นเต้นๆ พี่พิงจะบอกตลอดว่า แต่เหนื่อยมากนะเคน เคนต้องใช้ร่างกายเยอะมาก เพราะฉะนั้นพี่ขอเลยว่าเคนต้องฟิต เพราะเวลาทำงานมันมีข้อจำกัดหลายอย่าง
ข้อจำกัดที่ว่าคืออะไรบ้าง
อันดับแรกเลยคือ สระว่ายน้ำที่เราไปถ่ายทำ มันไม่ใช่สระว่ายน้ำร้างจริงๆ แต่มันเป็นสระว่ายน้ำของมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นสระกระโดดลึก 6 เมตร คือเราจะถ่ายตั้งแต่น้ำเต็ม แล้วก็ถ่ายไปเรื่อยๆ จนน้ำค่อยลดๆ ลงจนหมด
ที่สำคัญคือ มหาวิทยาลัยอนุญาตให้เราแค่ 1 เดือน หมายความว่าต้องถ่ายให้จบใน 1 เดือน แล้วไม่มีสิทธิ์กลับไปถ่ายเพิ่ม เพราะเขาก็ต้องเปิดสระ ต้องซ่อมแซมที่ทีมงานเราลงไปใช้ เพราะฉะนั้นมันมีเรื่องของเวลามาเป็นโจทย์ ฉะนั้นก็เลยต้องถ่ายเช้าถึงเช้า ตากแดดทั้งวันอยู่ในสระว่ายน้ำ ต้องว่ายน้ำ โหนสลิง ต้องทดสอบร่างกายตัวเองเยอะมาก
รู้สึกว่าก่อนถ่ายเรื่องนี้จะต้องลดน้ำหนักเยอะมาก
ใช่ครับ พี่พิงบอกว่า ตอนนี้เคนดูสมบูรณ์ไป ตัวละครในเรื่องเขาเป็นโรคเบาหวาน ต้องฉีดยาตลอดเวลา เขาเลยอยากให้เราซูบลงกว่านี้หน่อย ก่อนถ่ายผมมีเวลาหนึ่งเดือน ก็ต้องเปลี่ยนอาหารการกิน สเต๊กของอร่อยไม่ได้กิน ผมกินแค่ปลา ข้าวกล้อง ผัก อกไก่ น้ำเปล่า กินอยู่แค่นี้ ไปหาเทรนเนอร์แล้วออกกำลัง น้ำหนักก็ลดลงไปเรื่อยๆ
ความท้าทายอีกอย่างคือ ผมเป็นคนประเภทที่ต้องพักผ่อน (หัวเราะ) ผมทำงานหนักได้นะ ทำงานทุกวันติดกันได้เลย แต่พอสัก 4 ทุ่ม ผมควรจะเลิกแล้ว ผมต้องมีเวลานอน เพราะผมเป็นคนตื่นเช้า แต่เรื่องนี้มันถ่ายไม่เป็นเวลา บางวันนัด 6 โมงเช้า เลิกกอง 6 โมงเช้าของอีกวัน ซึ่งโหดมาก ผมว่ามันเป็นการทำงานที่เข้มข้นที่สุดแล้วตั้งแต่ผมเคยถ่ายงานมา ยังไม่รวมร่างกายที่ต้องปีนป่าย ต้องกลิ้ง ต้องคลาน โอ้โห แผลเต็มหลัง (หัวเราะ)
ถ่ายงานเสร็จ กลับบ้านไปภรรยาว่าอย่างไรบ้าง
เอาอย่างนี้ ตอนถ่ายแรกๆ เวลาเดินออกมา คนแถวนั้นยังออกมาขอถ่ายรูป พอถ่ายถึงวันท้ายๆ ผมเดินออกมา ซึ่งตอนนั้นมีเอฟเฟกต์แผลสด บวกกับแผลเดิม แล้วด้วยความโทรมของผม คนก็เริ่มไม่มั่นใจว่านั่นใช่พี่เคนหรือเปล่า ฉันว่าไม่ใช่นะ นั่นสตันต์ของพี่เขา คือคนนึกว่าไม่ใช่ผมแล้ว (หัวเราะ) โอเค มาถึงจุดนี้ได้คือสุดยอดมาก ตอนนั้นคิดในใจว่า นี่กูเอง (หัวเราะ)
แต่การต้องแสดงแบบใช้จินตนาการในหนังที่เต็มไปด้วย CG ก็น่าจะท้าทายความสามารถด้วยเหมือนกัน
ตรงนี้เป็นอีกเรื่องที่ผมรู้สึกแฮปปี้มาก เพราะส่วนใหญ่งานที่เคยเล่น ผมจะพึ่งพานักแสดงคนอื่นมาก เพราะเวลาที่เราแอ็กชัน มันก็จะเกิดรีแอ็กชันตามมาเป็นปกติ เราฟังว่าตัวเองพูดอะไร คุณพูดอะไร และสิ่งที่คุณพูดกระทบอะไรกับตัวผม จากนั้นผมตอบโต้กลับไป มันเป็นธรรมชาตินักแสดง
แต่กับเรื่องนี้เราได้ใช้อีกพาร์ตหนึ่ง คือได้ใช้จินตนาการเติมเต็มงานนี้เยอะมาก มันเหมือนเราได้กลับไปเป็นเด็ก อยู่ที่บ้าน แล้วคิดเอาเองว่ากำลังออกมาตั้งแคมป์ ตรงนั้นเป็นป่า ตรงนี้มีลำธาร มันเอาความเป็นเด็กในตัวเรากลับมาเยอะ ซึ่งผมสนุกกับการปล่อยให้จินตนาการได้โลดแล่นอย่างเต็มที่ ผมก็ไม่รู้นะว่าสุดท้ายแล้วงานจะออกมาเป็นอย่างไร สนุกหรือไม่ ตรงนั้นต้องให้ผู้ชมตัดสิน ผมรู้แค่ว่าตอนทำเราสนุก
ผมรู้สึกว่าตัวเองยังมีความสามารถ แต่วัยเราโตกว่าเท่านั้นเอง คือการโตกว่าไม่ได้หมายความว่าความสามารถเราน้อยลง ผมกลับเชื่อว่ายิ่งโตขึ้น ประสบการณ์เยอะขึ้น เรามองเห็นโลกลึกกว่าคนอายุ 20 แน่นอน
หลังจบเรื่องนี้ ผ่านงานท้าทายจากเรื่องนี้ คุณมองแนวทางการเลือกรับงานแสดงไว้อย่างไรบ้าง บทต้องท้าทายตัวเองขึ้นกว่าเดิมอีกไหมถึงจะยอมรับเล่น
จริงๆ ไม่ได้หมายความว่าจะต้องท้าทายประเภทว่า ผมต้องลดน้ำหนักหรืออะไร ผมมองว่า ถ้าบทมันสมวัยกับผม ถ้าหากเป็นเรื่องความรัก พล็อตอาจจะเป็นคนที่มีปัญหาครอบครัวหรือคนที่มีลูกแล้ว ตรงนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของเขา ซึ่งเป็นอะไรที่มากกว่ารักแรกพบ
อิจฉาไหมที่นักแสดงต่างประเทศเขามีบทนำที่เหมาะสมกับวัยให้เล่นเยอะมาก
ใช่ครับ นักแสดงฝรั่งอายุ 60 ก็ยังเป็นตัวนำได้อยู่ แต่คนไทยมองว่า เดี๋ยวคนนั้นก็ต้องเล่นเป็นพ่อ จริงๆ ผมเล่นเป็นพ่อได้นะ ถ้าพ่อเป็นตัวหลัก เรื่องเป็นของพ่อหรือเปล่าล่ะ ถ้าเรื่องเป็นของพ่อผมก็เล่น
นักแสดงฝรั่งเขาเลือกบทตามวัย ยกตัวอย่าง โรเบิร์ต เดอ นิโร ตอนนี้อายุ 75 เขาเล่นเป็นพ่อ เป็นมาเฟีย ฯลฯ แต่ก็ยังเป็นตัวหลัก คือจะให้เขาไปเล่นเป็นตัวประกอบมันก็ไม่ใช่ เช่นเดียวกัน ถ้าบ้านเราเป็นอย่างนั้นได้มันดีกว่า อาชีพนักแสดงก็จะยาวไกลขึ้น คนดูเองก็ได้ชมอะไรมากขึ้นกว่าการได้เห็นละครหรือภาพยนตร์ที่มีแค่เรื่องของคนอายุประมาณ 15-30 แล้วคนอื่นๆ ที่อายุมากกว่านั้น เขาไม่มีเรื่องราวในชีวิตแล้วหรือไง
(* โรเบิร์ต เดอ นิโร นักแสดงชื่อดังชาวอเมริกัน ปัจจุบันอายุ 75 งานสร้างชื่อในวัยหนุ่มของเขามีมากมาย อาทิ The Godfather: Part II, Taxi Driver, Raging Bull ปัจจุบันเขายังคงรับงานแสดงด้วยบทบาทที่โดดเด่นสมวัย อาทิ เป็นพ่อนางเอกใน Silver Linings Playbook (2013), Meet the Fockers (2010) เล่นล่าสุดในปี 2015 เขายังคงรับบทนำ โดยเล่นเป็นคนฝึกงานสูงอายุ The Intern ร่วมกับ แอน แฮทธาเวย์)
ถ้ามีคนติดต่อให้ไปแสดง แต่ไม่ใช่พระเอก
ก็ต้องเป็นตัวหลัก ถ้าถามผมนะ ผมไม่รู้ว่าเป็นพระเอกหรือเปล่า หรือในเรื่องมีพระเอกกี่คน แต่ถ้าเรื่องไหนมี โรเบิร์ต เดอ นิโร เขาก็ต้องเด่นไง (หัวเราะ) บทนั้นอาจจะสู้กับพระเอกก็ได้ แต่สุดท้ายแล้วความสำคัญในเรื่องมันควรจะไล่ๆ กัน ไม่อย่างนั้นผมอยู่เฉยๆ ดีกว่า ไม่รู้จะไปเล่นทำไม
ผมรู้สึกว่าตัวเองยังมีความสามารถ แต่วัยเราโตกว่าเท่านั้นเอง การโตกว่าไม่ได้หมายความว่าความสามารถเราน้อยลง ผมกลับเชื่อว่ายิ่งโตขึ้น ประสบการณ์เยอะขึ้น เรามองเห็นโลกลึกกว่าคนอายุ 20 แน่นอน
ผมไม่เบื่อ โรแมนติกคอเมดี้ก็ได้ อย่างเวลาดู ‘Bridget Jones’s Diary’ ซึ่งเป็นหนังโรแมนติกคอเมดี้ ฮิว แกรนต์ เขาก็เล่นเป็นพระเอกในวัยของเขา เป็นเรื่องราวความรักของคนในวัยเขา โดยไม่ต้องเฟกว่าตัวเองยังอายุ 20 ต้นๆ
คุณมองว่าตรงนี้เป็นข้อจำกัดของนักแสดงไทยเลยไหม
ส่วนหนึ่งนะ แต่ผมมองว่า ถ้าตรงนี้มันเปลี่ยนไปได้ หรือมีคนสนใจจะทำในสิ่งที่แปลกมากขึ้น นักแสดงก็น่าจะมีโอกาสมากขึ้น ซึ่งดีกับตัวเรา เพราะเราพร้อมอยู่แล้วที่จะทำอะไรแบบนั้น หรือไม่อย่างนั้นเราก็คงต้องลุกขึ้นไปทำเอง (หัวเราะ)
ตรงนี้คือเหตุผลที่คุณก้าวขึ้นไปเป็นผู้จัดละครด้วยหรือเปล่า
จริงๆ แล้วงานผู้จัดละครเป็นงานที่คุณหน่อยเขาอยากทำ (หน่อย-บุษกร วงศ์พัวพันธ์) คู่ชีวิตผู้ร่วมกันเปิดบริษัท ซิติเซ่น เคน จำกัด เพื่อผลิตละครโทรทัศน์ให้กับช่อง 3 มีผลงานละครอย่าง รักคุณเท่าฟ้า, อันโกะ กลรักสตรอว์เบอร์รี่, ระเริงไฟ และล่าสุด มีเพียงรัก ที่กำลังจะออนแอร์เร็วๆ นี้) แต่กลายเป็นว่า ในมุมหนึ่งมันก็ดี เพราะถ้าเป็นละครของเราเอง เราก็จะพยายามดึงเรื่องหรือบทให้ทุกอย่างเหมาะกับตัวเราให้ง่าย
ยกตัวอย่างละครเรื่องล่าสุดของบริษัท (ละคร มีเพียงรัก แสดงนำคู่กับ เต้ย-จรินทร์พร จุนเกียรติ) เราตั้งไว้เลยว่า พระเอกมันแก่ (หัวเราะ) แก่แล้วไปจีบเด็ก ทีนี้ก็ทำละครให้ชัดเจนไปเลยว่า วัยของตัวละครมันเป็นแบบนี้ ไม่ใช่ไปบอกว่า เขายังอายุ 30 เพราะหน้าเรามันโกหกไม่ได้อยู่แล้ว (หัวเราะ) ฉะนั้นก็ต้องบอกว่า เราแก่ แต่มันก็มีเรื่องในแบบของเรา
แต่ไม่ได้หมายความว่าเบื่องานแบบโรแมนติกคอเมดี้
ผมไม่เบื่อ โรแมนติกคอเมดี้ก็ได้ อย่างเวลาดู Bridget Jones’s Diary ซึ่งเป็นหนังโรแมนติกคอเมดี้ ฮิว แกรนต์ เขาก็เล่นเป็นพระเอกในวัยของเขา เป็นเรื่องราวความรักของคนในวัยเขา โดยไม่ต้องเฟกว่าตัวเองยังอายุ 20 ต้นๆ
สมัยก่อนผมจะเป็นพวก Perfectionist ของทุกอย่างที่บ้านผมต้องวางเป๊ะเป็นองศา เคลื่อนหน่อยเดียวก็ต้องจัด โรคจิต (หัวเราะ) แต่พอมีลูก โอ้โห ลูกทำของผมเละหมดเลย บางทีเลิกงานเหนื่อยๆ เที่ยงคืนกลับถึงบ้าน ผมนอนไม่ได้นะ ต้องจัดบ้าน เอาโซฟาเข้าที่ เก็บผ้าห่ม พอจัดบ้านเสร็จ เฮ้อ สบายใจ นอนได้แล้ว
ประสบการณ์ในฐานะผู้จัดละครเป็นอย่างไรบ้างครับ นี่ก็น่าจะเป็นงานใหม่ที่ท้าทายด้วยเหมือนกัน
ใช่ครับ ผมยังอยากทำงานในอาชีพนี้อยู่ และถ้ารักในอาชีพนี้ เราก็ต้องพยายามหาทาง และถ้าไม่มีใครหาทางให้ เราก็ต้องหาทางด้วยตัวเราเอง (หัวเราะ) เพื่อให้เรายังมีเวย์หรืออยู่รอดต่อไปได้
อย่างการเป็นผู้จัดฯ ผมมองว่าคอนเน็กชันเป็นเรื่องสำคัญว่าเราได้เจอกับคนเก่งๆ ด้วยหรือเปล่า ผมกับภรรยายังใหม่ ประสบการณ์ยังน้อย เรายอมรับว่า ยังต้องพึ่งพาคนอีกเยอะ ฉะนั้นถ้าได้คนเขียนบทดีๆ ผู้กำกับดีๆ นักแสดงดีๆ เขาก็จะช่วยเราได้มาก
อีกอย่าง ผู้จัดละครเป็นงานที่ต้องดีลกับคน ซึ่งสมัยก่อนผมไม่ถนัดเลย มันไม่ใช่ตัวผม ในมุมนี้คุณหน่อยเป็นคนที่เข้าสังคมเก่งกว่าผมเยอะ คือเราต้องไปคุยกับคน เพื่อให้เขาทำในสิ่งที่เราอยากได้ ผมว่ามันยาก (หัวเราะ) พอทำตรงนี้ เราเข้าใจเลยว่า การสื่อสารมันสำคัญจริงๆ เพราะทำละครหนึ่งเรื่อง ทีมงาน 50 กว่าชีวิตต้องเห็นภาพไปในทางเดียวกัน หรืออย่างน้อยก็ต้อง 80% เพื่อทำให้ความคิด ความฝันของเรามันเป็นจริง
สามีกับภรรยาแบ่งหน้าที่ในบริษัทกันอย่างไรครับ
จริงๆ ต้องบอกว่า ตอนเริ่มต้นผมไม่ได้อยากทำ จากนั้นผมก็เฟดตัวออกมา เพราะผมรู้สึกว่า ภาวะเครียดมันเยอะ บอกตามตรงผมเป็นผู้จัดฯ แล้วผมนอนไม่ค่อยหลับ (หัวเราะ) เพราะการบริหารคนมันยาก ผมก็เลยทิ้งให้ภรรยาทำหน้าที่ผู้จัดละครคนเดียวอยู่พักหนึ่ง
บอกตรงๆ ว่าผมเห็นแก่ตัว เอาตัวรอด แต่กลายเป็นว่ามันไม่เวิร์ก เพราะลงท้ายแล้ว เวลามีปัญหาในการทำงาน คุณหน่อยเขาก็เอามาระบายที่บ้านอยู่ดี แล้วพอเราได้ยิน เราก็อยากจะแก้ปัญหา สุดท้ายค่าเท่าเดิม เพราะคนเป็นสามีภรรยา คนหนึ่งเครียด อีกคนก็เครียดตามไปด้วย
มองย้อนกลับไปที่ตัวเองใหม่ หรือว่าจริงๆ แล้วเราทำผิดไปวะ ผมก็เลยเดินไปบอกเขาว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวเรากลับมาช่วยกันทำแล้วกัน (หัวเราะ)
แล้วเชื่อไหม แค่เราเดินไปบอกเขา กลายเป็นว่าปัญหาต่างๆ มันก็ดีขึ้นเลย เพราะเขารู้สึกว่าไม่ได้เดินไปข้างหน้าแบบตัวคนเดียว ผมถึงได้รู้ว่า อ้อ มันเป็นอย่างนี้เอง ว่าการเป็นสามีภรรยามันต้องเสียสละ ถึงแม้ว่าบางสิ่งเราจะไม่ชอบ ไม่อยากทำ ด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แต่เมื่อคู่ชีวิตเขายืนยันว่าอยากทำ และเขาไปคนเดียวไม่ได้ เขาต้องการเรา ขณะเดียวกันนอกจากเราทำเพื่อเขา สิ่งเหล่านั้นมันก็ย้อนกลับมาทำให้เรารู้สึกไม่เครียด เพราะคู่ชีวิตเขากำลังทำสิ่งนั้นด้วยความสบายใจ ทุกอย่างมันเลยออกมาดี
มีอยู่วันหนึ่งเพื่อนคุณหน่อยมาสังสรรค์กันเต็มบ้านเลย พอผมกลับมาเห็นว่าเขาทำไวน์หกบนโต๊ะแล้วยังไม่ได้เช็ด ผมก็เดินไปหยิบผ้ามาเช็ด เพื่อนเขาเห็นก็แบบ… “หน่อย ผัวมึงไหวหรือเปล่าวะ” (หัวเราะ) พวกเราควรกลับบ้านไหมเนี่ย คุณหน่อยเขาก็จะบอกว่า ไม่หรอก เขาแค่เป็นคนแบบนี้
ไม่สนใจโรลโมเดลแบบ อ๊อฟ พงษ์พัฒน์-แดง ธัญญา บ้างเหรอ
หมายความว่า ผมต้องลงไปกำกับฯ เองแบบพี่อ๊อฟใช่ไหม คือผมกลัวเหนื่อย (หัวเราะ) ผมเห็นจากพี่อ๊อฟแล้วว่า ถ้าผมลงไปทำ ผมคงได้แก่จริงๆ ความจริงผมทำได้แหละ แต่ถ้าไปเป็นอย่างนั้น นั่นแปลว่า ผมอาจจะไม่เป็นพระเอกแล้ว (หัวเราะ)
ผมเคยบอกเขานะว่า ถ้าจะให้เป็นอย่างนั้นก็ได้ แต่ต้องเลือกว่าต่อจากนี้สามีคุณจะไม่เป็นพระเอกแล้วนะ เพราะด้วยวัยของผมเองด้วยที่จะต้องดูแลตัวเอง ต้องออกกำลัง ทำให้ฟิตและเฟิร์มอยู่เสมอ ฉะนั้นถ้าให้ผมทำสองอย่างพร้อมกันคงไม่ไหว
นักแสดงหลายคนมักจะบอกว่า เมื่อเปิดกล้องเรื่องหนึ่ง ก็เหมือนว่าเราได้เริ่มต้นใหม่ตลอดเวลา แต่สำหรับ เคน ธีรเดช รู้สึกว่าคุณจะมีช่วงที่เบื่อๆ อยากๆ งานแสดงเยอะเหมือนกัน
พูดตรงๆ ผมเริ่มต้นในวงการมาจากการอยากได้เงิน ตอนนั้นผมตั้งใจว่า มีงานอะไรในวงการก็จะทำ ทั้งหมดประมาณ 5 ปี แล้วผมอยากจะกลับไปเรียนต่อที่อเมริกา เพราะตอนนั้นคุณแม่บอกว่า จะไม่ส่งค่าเรียนให้แล้ว ถ้าเรียนก็ต้องหาเงินกลับไปเอง แต่สุดท้ายแล้วก็กลายเป็น 20 ปี (หัวเราะ)
แต่ช่วงหนึ่งตอนเพิ่งมีลูกใหม่ๆ ผมรู้สึกว่าผมอยากหยุดงานสัก 2 ปี ผมก็บอกคุณหน่อย บอกกับคนรอบตัวที่เกี่ยวข้องว่า อยากหยุดงาน จะได้ดูลูก อยากเลี้ยงลูก และได้พักด้วย แต่ทุกคนจะบอกว่า บ้าเหรอ กำลังดัง หาเงินได้ หยุดงานทำไม หยุดงานไป 2 ปี กลับมามันต่อไม่ติดแล้วนะ พอไม่มีใครอนุญาต ผมก็เลยต้องทำงานต่อไป
ช่วงหนึ่งผมก็เลยรู้สึก Sick กับตัวเองว่า เราเบื่อ แล้วผมกับภรรยาเลี้ยงลูกกันเอง บางคืนลูกไม่นอนเลย ผมอยู่กับคุณหน่อย ช่วยกันเลี้ยงลูกทั้งคืน ตื่นทุกสองชั่วโมง เที่ยงคืนตื่น ตีสองตื่น เช้าไปถ่ายละคร เป็นอย่างนี้อยู่นาน คือละครก็ต้องเล่น แต่เราอยากจะทำหน้าที่พ่อด้วย เราก็เลยรู้สึก Sick กับละครนิดหนึ่ง เพราะเราเคยพยายามจะบอกกับทุกคนแล้วว่า อยากจะหยุด แต่มันเป็นไปไม่ได้
ผมเป็นคนชอบเดินทาง ชอบถ่ายรูป แต่ช่วงหนึ่งพอทำงานเยอะ เราเลยเก็บแพสชันเหล่านี้ไว้ในตู้เซฟ แล้วกลายเป็นว่า ตัวตนลึกๆ ของเรามันหายไป แต่ตอนนี้ผมเอาสิ่งเหล่านั้นกลับมาทำอีกครั้งเป็นงานอดิเรก ที่ถึงมันจะไม่ใช่อาชีพ แต่ผมก็ทำมันอย่างจริงจัง
ด้วยความเป็นผู้ชายแบบเรา เลยอาจจะมีความต่อต้าน
ต่อต้านๆ เป็นคนเยอะ บางคนจะบอก เฮ้ย ติสต์ (หัวเราะ) คือผมเป็นคนที่ทำอะไรแล้วผมทำเต็มที่ไง อย่างตอนนั้นเรารู้สึกว่า ถ้าหยุดพัก เราจะได้ลองทำหน้าที่ของพ่ออย่างเต็มที่ไง แล้วพอลูกเราโตขึ้นหน่อย ก็ค่อยกลับไปเต็มที่กับการแสดง แต่พอต้องทำสองอย่างไปพร้อมกัน มันเลยรู้สึกเหมือนเราไม่เต็มที่กับอะไรสักอย่าง เราเหนื่อยมากที่ต้องโหน 2 อย่าง ระหว่างสิ่งที่อยากทำกับสิ่งที่ต้องทำ ผมเลี้ยงสภาวะนั้นไว้อยู่หลายปีเหมือนกัน เพราะหลังจากนั้นอีกสักพักลูกคนที่ 2 ก็คลอด
คุณผ่านช่วงเวลานั้นมาอย่างไร
สมัยก่อนผมจะเป็นพวก Perfectionist ของทุกอย่างที่บ้านผมต้องวางเป๊ะเป็นองศา เคลื่อนหน่อยเดียวก็ต้องจัด โรคจิต (หัวเราะ) แต่พอมีลูก โอ้โห ลูกทำของผมเละหมดเลย บางทีเลิกงานเหนื่อยๆ เที่ยงคืนกลับถึงบ้าน ผมนอนไม่ได้นะ ต้องจัดบ้าน เอาโซฟาเข้าที่ เก็บผ้าห่ม พอจัดบ้านเสร็จ เฮ้อ สบายใจ นอนได้แล้ว
พอเวลาผ่านไป เรารู้สึกว่า ทิฐิในตัวเองลดลง เข้าใจและยอมรับคนอื่นได้มากขึ้น มีสติมากขึ้น
ทุกวันนี้บ้านไม่เละแล้ว สะอาด เรียบร้อย เพราะลูกโตแล้ว แต่เราก็ไม่ได้เป็นคนแบบนั้นแล้ว สมัยก่อนคนเข้าบ้านผมจะเกร็ง เพื่อนๆ จะกลัวว่า เดี๋ยวโต๊ะบ้านเคนมันจะเลอะ มีอยู่วันหนึ่งเพื่อนคุณหน่อยมาสังสรรค์กันเต็มบ้านเลย ผมกลับมาแล้วเห็นว่าเขาทำไวน์หกบนโต๊ะแล้วไม่ได้เช็ด คือผมไม่ได้คิดอะไรนะ แต่ผมเป็นคนแบบนั้น ผมก็เดินไปหยิบผ้ามาเช็ด เพื่อนเขาเห็นก็แบบ… “หน่อย ผัวมึงไหวหรือเปล่าวะ” (หัวเราะ) พวกเราควรกลับบ้านไหมวะเนี่ย คุณหน่อยเขาก็จะบอกว่า ไม่หรอก เขาแค่เป็นคนแบบนี้
สมัยก่อนผมไม่เคยถ่ายรูปคนเลยนะ เพราะผมรู้สึกว่ามันยุ่งวุ่นวาย ผมชอบอยู่คนเดียว ถ่ายแต่วิว ถ่ายเมือง ถ่ายตึก ถ่ายทะเล แต่พอมีครอบครัวมันหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะเวลาไปไหนเราไปด้วยกันตลอด งั้นไหนลองดูซิ ถ่ายรูปลูก ถ่ายรูปภรรยา พอถ่ายเรื่อยๆ มันก็สนุกดี ตอนนี้คนในครอบครัวกลายเป็นซับเจ็กต์หลักของผมเลย
เท่าที่ทราบ คุณไม่เคยพาสื่อฯ หรือรายการไหนไปที่บ้านเลย ลองเดานะ คิดว่าอาจจะต้องการมีพื้นที่ส่วนตัวที่ไม่อยากให้ใครเข้าไป
ก็ใช่ครับ คือตอนเด็กๆ หรือตอนเรียนอยู่อเมริกา ผมเป็นคนที่ชอบอยู่คนเดียว เป็นคนชอบถ่ายรูป ขับรถเที่ยว ไม่ใช่คนแบบที่เป็นอยู่ตอนนี้เลย พูดก็ไม่เก่ง ไม่กล้าแสดงออก แต่ด้วยตัวงานมันทำให้เราค่อยๆ เปลี่ยน ค่อยๆ ปรับตัว ผมชอบอยู่บ้าน ไม่ชอบให้ใครมาอะไร (หัวเราะ) หรือถ้าเป็นเพื่อนก็ต้องเป็นเพื่อนที่เราอยากให้เขาเข้ามา ไม่อย่างนั้นเราจะดูเป็นคนไม่ดี ไม่ค่อยเวลคัมคนสักเท่าไร
เรียกได้ว่าค้นพบแล้วว่า จะอยู่ในวงการบันเทิงอย่างไรให้ตัวเองมีความสุข คือทำงานบ้าง หลบไปพักเงียบๆ ขอเป็นส่วนตัวบ้าง
ผมเป็นคนชอบเดินทาง ชอบถ่ายรูป แต่ช่วงหนึ่งพอทำงานเยอะ เราเลยเก็บแพสชันเหล่านี้ไว้ในตู้เซฟ แล้วกลายเป็นว่า ตัวตนลึกๆ ของเรามันหายไป แต่ตอนนี้ผมเอาสิ่งเหล่านั้นกลับมาทำอีกครั้งเป็นงานอดิเรก ที่ถึงมันจะไม่ใช่อาชีพ แต่ผมก็ทำมันอย่างจริงจัง อย่างถ้าผมจะไปเที่ยว ผมจะบอกก่อนเลยว่า ผมต้องไป 2-3 อาทิตย์ หรือถ้าอยู่ได้เป็นเดือนเลยนะ (หัวเราะ) ผมจะไปกับครอบครัว 4 คน เราไปใช้ชีวิต ไปเดิน ไปกิน ไปเที่ยว แล้วผมก็ถ่ายรูป แค่นี้มันก็เติมเต็มผมได้แล้ว
คนอาจจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่า เคน ธีรเดช เรียนมาทางด้านการถ่ายภาพ (Brooks Institute of Photography) แต่กลายเป็นว่าทุกวันนี้ดูเหมือนจะสนุกกับการถ่ายรูป
ลืม เพราะมันไม่ใช่ประเด็นหลักของผมไง ส่วนถ่ายรูป ผมถ่ายเวลาไปเที่ยว ถ่ายรูปครอบครัว รูปคุณหน่อย รูปลูก ความจริงพยายามอยากจะทำหนังสือรวมเล่มรูปครอบครัว แต่ก็ยังไม่มีเวลา และไม่รู้ว่าจะมีใครซื้อหรือเปล่า ก็เลยเริ่มเอารูปพวกนี้ไปลงในอินสตาแกรมของตัวเอง จริงๆ ก็อยากให้คนเห็นนั่นแหละ เพราะมันเป็นงานของเรา
ทำไมเลือกที่จะถ่ายรูปครอบครัวล่ะครับ
ไม่รู้เหมือนกัน จริงๆ สมัยก่อนผมไม่เคยถ่ายรูปคนเลยนะ เพราะผมรู้สึกว่ามันยุ่งวุ่นวาย ผมชอบอยู่คนเดียว ถ่ายแต่วิว ถ่ายเมือง ถ่ายตึก ถ่ายทะเล แต่พอมีครอบครัวมันหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะเวลาไปไหนเราไปด้วยกันตลอด งั้นไหนลองดูซิ ถ่ายรูปลูก ถ่ายรูปภรรยา พอถ่ายมาเรื่อยๆ มันก็สนุกดี ตอนนี้ทุกคนในครอบครัวกลายเป็นซับเจ็กต์หลักของผมเลย
จริงๆ แล้วชีวิต เคน ธีรเดช หลังแต่งงานเรียกได้ว่าเป็น Family Man มากๆ และเท่าที่ฟัง ดูเหมือนว่าการมีลูกจะเปลี่ยนคุณไปเยอะเหมือนกัน
จริงๆ แล้วตอนแต่งงาน ผมก็ไม่ได้คิดว่าจะมีลูกนะ จำได้ว่าตอนแต่งงานผมบอกกับหน่อยว่า เดี๋ยวเราไปเที่ยวกันดีกว่า ส่วนเรื่องลูกไว้อีกสัก 5 ปีหลังแต่งงานแล้วกันนะ เราไม่ได้สนใจเลย จนคิดว่าอาจจะไม่มีด้วยซ้ำ แต่กลายเป็นว่าภรรยาท้อง แล้วพอเขาท้อง ฉะนั้นเราก็ต้องรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้น
การแต่งงานมันไม่ได้หมายความว่า ชีวิตต้องแฮปปี้เอนดิ้ง แต่การแต่งงานหมายถึง หลังจากนี้คือของจริงแล้วว่า การที่ชีวิตคุณจะต้องอยู่กับคนคนหนึ่งไปตลอด คุณจะจัดการกับมันอย่างไร
สำหรับผู้ชายนะ ตอนลูกอยู่ในท้องความรู้สึกเหมือนเรายังไม่ได้รู้จักเขา แล้วที่ผมบอกว่า อยากเลี้ยงลูก ไม่ได้หมายความว่า ผมใฝ่ฝันว่าอยากจะเป็นพ่อคนนะ ต้องใช้คำว่า เราอยากเรียนรู้เขาดีกว่า เราอยากทำความรู้จักเขา เพราะอยู่ๆ เขาก็ออกมาจากท้องภรรยา เพราะฉะนั้นการที่ผมได้ใช้เวลากับเขา ผมไม่เสียใจเลยนะ ผมบอกเลยว่ามันดีมาก
หลายคนก็บอกว่า อยู่กับเขามากๆ ดีแล้ว เพราะพอลูกเป็นวัยรุ่น เขาก็ไม่เอาเราแล้ว ตอนนี้มันเป็นช่วงเวลาที่ต้องกอบโกย ในวันที่เขายังต้องการเราอยู่ ยังสนใจความคิดเห็นของเราอยู่ ซึ่งถ้าเราปลูกฝังอะไรให้พวกเขาได้ เราก็ทำไป แล้วพอหลังจากนี้เขาก็คงอยากจะไปเรียนรู้ชีวิตของเขา พอมองดูตัวเองก็เหมือนเรา ตอนอายุถึงจุดหนึ่ง เราก็ไม่อยากอยู่กับพ่อแม่ อยากมีพื้นที่ของตัวเอง ดีแล้วที่ครอบครัวเราเป็นอย่างนี้ เพราะทุกอย่างมันเติมเต็มชีวิตผม ทำให้ผมรู้สึกว่าชีวิตมันมีคุณค่า
เป็นพ่อที่ดุไหมครับ
ผมเป็นคนระเบียบ หลังๆ ผมเรียนรู้แล้วว่า ผมระเบียบเกินไป ผมโชคดีที่คุณหน่อยเขาเป็นขั้วตรงข้าม คุณหน่อยเขาจะฮิปปี้หน่อย เป็นสายชิล ส่วนผมจะสายตึง พอคนขั้วตรงข้ามมาเจอกันก็เลยช่วยบาลานซ์กัน คุณหน่อยช่วยเบรกผม ส่วนผมก็ช่วยดึงถ้าเขาเละเกินไป
มองจากไกลๆ คนอาจจะรู้สึกว่าครอบครัวของคุณดูเพอร์เฟกต์ ลูกก็น่ารัก ภรรยาก็ดี เบื้องหลังภาพสวยงามเหล่านั้น มีความไม่สมบูรณ์แบบอะไรที่คนทั่วไปไม่รู้บ้างไหม
ตรงนั้นเป็นภาพที่คนเห็นไง สมมติถ้าดูภาพผมจากในอินสตาแกรม ผมเชื่อว่า ทุกคนต่างก็โชว์ไลฟ์สไตล์ของตัวเอง ถามว่าสิ่งเหล่านี้มันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า ผมก็จะบอกว่า มันเป็นข้อมูลที่มีความจริงอยู่ แต่มันสามารถทำให้สามารถจะตัดสินคนๆ นี้ได้เลยหรือเปล่า มันทำแบบนั้นไม่ได้หรอก
ทุกคนอยากเอาแต่สิ่งที่ตัวเองอยากจะบอกกับคนอื่นลงไปในโซเชียลทั้งนั้นแหละ ตัวเคนก็เหมือนกัน อย่างอินสตาแกรม คนเข้าไปดูรูปคุณหน่อย ก็ต้องบอกว่า ชีวิตเขาเพอร์เฟกต์จังเลย มันแน่นอน เรื่องอะไรผมจะลงรูปตอนทะเลาะกับเมียผม นั่นหมายความว่า สิ่งเหล่านี้มันบอกอะไรไม่ได้ และถึงเราทะเลาะกัน มันก็ไม่ได้หมายความว่า เราไม่รักกัน
การแต่งงานมันไม่ได้หมายความว่า ชีวิตต้องแฮปปี้เอนดิ้ง แต่การแต่งงานหมายถึงหลังจากนี้คือของจริงแล้วว่า การที่ชีวิตคุณจะต้องอยู่กับคนคนหนึ่งไปตลอด คุณจะจัดการกับมันอย่างไร
มีช่วงหนึ่งที่ผมเคยคิดว่า “ทำไมเขาไม่เปลี่ยนวะ” บางเรื่องเราเคยบอกเขาตั้งร้อยครั้งแล้ว เช่นกัน เขาก็คงคิดว่า ทำไมเคนมันไม่เปลี่ยนสักที กูบอกมันพันครั้งแล้ว มันก็ยังไม่เปลี่ยนสักที
ภาพรวมชีวิตปัจจุบันในวัย 40 ได้ดั่งใจเราไหม งานแสดง งานผู้จัด ชีวิตครอบครัว
ก็ต้องบอกว่า ได้ครับ แต่อะไรที่ไม่ได้ เราก็ต้องยอมรับ คือบางทีมันก็มีนะ พูดย้อนกลับไปอย่างเรื่องคุณหน่อย มีช่วงหนึ่งที่ผมเคยคิดว่า “เอ๊ะ ทำไมเขาไม่เปลี่ยนวะ” บางเรื่องเราก็เคยบอกเขาตั้งร้อยครั้งแล้ว แต่เช่นกัน เขาก็คงคิดว่า ทำไมเคนมันไม่เปลี่ยนสักที กูบอกมันพันครั้งแล้ว มันก็ยังไม่เปลี่ยนสักที สุดท้ายแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยน แต่เราต้องยอมรับว่า ก็เนี่ย เมียมึงเป็นแบบนี้ มึงรับได้หรือเปล่า เช่นเดียวกัน การที่สามีคุณเป็นแบบนี้ คุณรับเขาให้ได้สิ ฉะนั้น การที่คุณไปเปลี่ยนเขา ผมว่ามันผิดนะ คุณต้องยอมรับ ไม่อย่างนั้นคุณจะเลือกเขามาร่วมชีวิตคู่ทำไม
วันแรกตอนที่จีบกันใหม่ๆ คุณก็บอกเขาน่ารักไง แต่ตอนนี้โปรโมชันหมดแล้วเหรอ (หัวเราะ) โปรโมชันหมดก็ถูกนะ แต่พอโปรโมชันหมด ตรงนี้คือ วุฒิภาวะของชีวิตคู่แล้ว คุณต้องยอมรับแล้วไง นี่คือตัวตนของผู้หญิงที่เป็นแม่ของลูกคุณไง ไม่ใช่ยังมาบอกว่า เฮ้ย คุณต้องเป็นแบบนี้สิ ถ้าแบบนั้นไม่เวิร์ก
สุดท้ายแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยน แต่เราต้องยอมรับว่า ก็เนี่ย เมียมึงเป็นแบบนี้ มึงรับได้หรือเปล่า เช่นเดียวกัน การที่สามีคุณเป็นแบบนี้ คุณรับเขาให้ได้สิ
กลับมาที่เรื่องการแสดง ตอนนี้คุณมีแผนอะไรไว้ในใจบ้างไหม
ตรงนี้ไม่ได้กำหนดเลย เราก็ดูแลตัวเองในฐานะคนทำอาชีพนักแสดง ถ้าหากยังมีโอกาสหรือว่ามีคนเสนอภาพยนตร์ดีๆ มาให้ ผมก็อยากเล่นนะ แต่ตอนนี้ถ้าเป็นนักมวยก็เหมือนเราค่อยๆ ชกแล้ว ขึ้นเวลาทีไปอาจจะเดินหลบหน่อยแล้วค่อยๆ แย็บ อีกสักพักแล้วค่อยปล่อยหมักฮุก (หัวเราะ) หมายถึงว่า ค่อยๆ ดูบท ไม่ได้เร่งรีบอะไร ฉะนั้น ผมไม่ได้กำหนดอะไร ปล่อยให้ทิศทางของมันดำเนินไปเองตามธรรมชาติ
ไม่กลัวเหรอว่าช่างเลือกมากๆ อาจจะทำให้สาวกรี๊ดน้อยลง
เขากรี๊ดน้อยลงมานานแล้ว (หัวเราะ) คือเราต้องรู้ตัวเอง ที่ผมพูดไม่ได้หมายความว่า ผมถ่อมตัวนะ แต่เราต้องรู้จักตัวเราเอง ถ้าถามผมทุกวันนี้ เคน ธีรเดช เป็นหนุ่มฮอตหรือเปล่า ผมไม่ใช่หนุ่มฮอตแล้วไง คำว่าหนุ่มฮอตตอนนี้มันต้องเป็นนักแสดงใหม่ๆ
ผมเชื่อว่า ความฮอตมันมีช่วงเวลาไง ขึ้นอยู่กับว่าจะฮอตนานแค่ไหน รักษามันไว้ได้นานแค่ไหน ถ้าถามว่าวันนี้ผมเป็นคนมีชื่อเสียงไหม ผมตอบได้ว่ามี แต่ผมไม่ได้ฮอตแล้ว
ดีแล้วที่ครอบครัวเราเป็นอย่างนี้ เพราะทุกอย่างมันเติมเต็มชีวิตผม ทำให้ผมรู้สึกว่า ชีวิตมันมีคุณค่า
คุณใช้อะไรมาวัดว่า เคน ธีรเดช ไม่ฮอตแล้ว
ถ้าฮอตเนี่ย คนต้องพูดถึงเราในช่วงนี้ เวลาไปไหนคนต้องกรี๊ดไง ไม่ว่าจะไปไหนความเป็นเรามันต้องอยู่ในทุกที่ มีเสียงกรี๊ด มีคนฮือฮา อย่างทุกวันนี้ไปไหนเขาก็รู้จักเรา แต่มันไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้วแน่นอน
จากเคยฮอตสุดๆ แล้ววันหนึ่งฮอตน้อยลง ความรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง
มันก็มีเซ็งๆ เหมือนกันนะ อ้าวเหรอ… แต่อีกใจหนึ่งมันก็ดี เพราะมันทำให้ความสนใจไม่ได้อยู่ที่เราจนเกินไป เราขยับตัวง่ายขึ้น เอาตัวตนของเราออกมาได้มากขึ้นว่าเราอยากจะเป็นอะไรหรืออยากจะทำอะไร
แสดงว่าช่วงเวลาฮอต มันก็สนุกเหมือนกันนะ ไม่งั้นคงไม่เซ็งๆ
มันก็สนุก ผมเชื่อว่า ทุกคนก็ต้องชอบ ไปไหนมีแต่คนชอบเรา ขนาดว่าผมมาจากคนที่ไม่ชอบงานในวงการ ผมยังรู้สึกดีเลยว่า ตอนนี้คนชอบเราเยอะเว้ย (หัวเราะ) แต่ขณะเดียวกัน ผมก็ไม่ใช่คนที่เอนจอยกับทุกอย่างขนาดนั้น เพราะในอีกมุมผมก็เบื่อ ผมเป็นคนที่มีระเบิดเวลาของตัวเองตลอดเหมือนกัน แต่พอถึงช่วงเวลาที่คนเริ่มหาย มันก็มีเสียวเหมือนกันนะ ว่ามันมาแล้วใช่ไหม นี่ไง ช่วงเวลาที่เราต้องการ แต่พอมันมาถึงก็ไม่เป็นไร เราก็ต้องเดินหน้าต่อไป
ขอขอบคุณเสื้อผ้าและรองเท้าจาก: Takeokikuchi
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
- ย้อนกลับไปสำรวจไทม์ไลน์ 20 ปี เคน-ธีรเดช วงศ์พัวพันธ์ จากทายาทคนบันเทิงสู่พระเอกแถวหน้าของเมืองไทยได้ที่ thestandard.co/ken-theeradej/
- The Pool นรก 6 เมตร ภาพยนตร์ระทึกขวัญ กำกับโดย พิง ลำพระเพลิง คือผลงานภาพยนตร์ของ เคน ธีรเดช หลังห่างหายไป 9 ปี ในเรื่องเขารับบท ‘เดย์’ ฝ่ายอาร์ตกองถ่ายโฆษณา ผู้ถูกทีมงานหลงลืมไว้ที่ก้นสระว่ายน้ำลึก 6 เมตรเพียงลำพังแบบไร้ทางขึ้น ที่มีสัตว์ร้ายซ่อนอยู่อีก 1 ตัว งานการแสดงที่เขามองว่า ท้าทายมากที่สุดครั้งหนึ่งในรอบหลายปี และกำลังจะเข้าโรงภาพยนตร์วันที่ 27 กันยายนนี้