The Suicide Squad ภาพยนตร์รวมทีมตัวร้ายจากจักรวาล DC เป็นอีกหนึ่งผลงานที่สร้างความตื่นเต้นให้แฟนภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ทั่วโลกตั้งแต่ภาพยนตร์ยังไม่เข้าฉาย ทั้งการได้ James Gunn ที่เคยสร้างเสียงหัวเราะและเรียกน้ำตาผู้ชมมาแล้วจาก Guardians of the Galaxy ทั้งสองภาคมานั่งแท่นผู้กำกับ หรือการที่ภาพยนตร์ได้รับเสียงชื่นชมจากนักวิจารณ์อย่างล้นหลามตั้งแต่วันแรกที่เข้าฉาย โดยเฉพาะนักวิจารณ์จากเว็บไซต์ Rotten Tomatoes ที่ให้คะแนนมะเขือเทศสดไว้สูงถึง 100% เต็มหลังเข้าฉายวันแรก (ปัจจุบันคะแนนอยู่ที่ 90%)
รวมถึงการที่ค่ายภาพยนตร์อย่าง Warner Bros. เปิดไฟเขียวให้ James Gunn สามารถใส่จินตนาการของตัวเองลงไปในภาพยนตร์ได้อย่างเต็มที่ ทั้งหมดนี้จึงยิ่งส่งให้ The Suicide Squad กลายเป็นผลงานเรื่องล่าสุดจากจักรวาล DC ที่แฟนๆ ทั่วโลกต่างเฝ้ารอไม่แพ้ผลงานจากฝั่ง Marvel
และดูเหมือนว่า James Gunn จะไม่ทำให้ผู้ชมผิดหวัง เพราะสำหรับผู้เขียน The Suicide Squad อัดแน่นไปด้วยความสนุกสนานที่ผู้ชมอยากจะเห็น และเนื้อหาของเรื่องที่ส่งให้ภาพยนตร์รวมทีมตัวร้ายเรื่องนี้มี ‘หัวใจ’
The Suicide Squad บอกเล่าเรื่องราวของทีม Suicide Squad ที่รวบรวมเหล่าวายร้ายสุดแซ่บมาทำภารกิจเสี่ยงตายเพื่อปกป้องโลกจากภัยร้าย โดยภารกิจในครั้งนี้พวกเขาต้องการเดินทางไปยังเกาะคอร์โต มัลทีซ เพื่อเข้าทำลายทุกอย่างที่มีความเกี่ยวโยงกับโปรเจกต์สตาร์ฟิช ซึ่งมีความเกี่ยวโยงกับ สตาร์โรล สัตว์ประหลาดปลาดาวยักษ์จากนอกโลกที่สามารถควบคุมจิตใจของผู้คนได้
The Suicide Squad ค่อนข้างจะมีการดำเนินเรื่องที่เป็นเส้นตรง ไม่ได้มีเนื้อหาที่ซับซ้อนมากนัก กล่าวคือผู้ชมจะได้ติดตามสมาชิกทีม Suicide Squad ในการทำภารกิจทำลายโปรเจกต์สตาร์ฟิชแบบค่อยเป็นค่อยไป คล้ายๆ ภาพยนตร์แนวสายลับที่ตัวเอกของเรื่องต้องแทรกซึมเข้าไปในสถานที่แห่งหนึ่งเพื่อทำลายแผนการร้ายของอีกฝ่ายที่หมายจะครองโลก เพียงแต่ตัวเอกของเรื่องถูกเปลี่ยนให้เป็นเหล่าตัวร้ายจากจักรวาล DC
ขณะเดียวกัน จุดเด่นสำคัญที่เข้ามาแต่งเติมรสชาติเผ็ดร้อนให้ตัวภาพยนตร์เป็นอย่างดี คือฝีไม้ลายมือการกำกับของ James Gunn ที่ยังคงเอกลักษณ์เฉพาะตัวไว้อย่างครบถ้วน ทั้งมุกตลกขบขันและฉากแอ็กชันกวนๆ รวมถึงการออกแบบคาแรกเตอร์ตัวละครอันโดดเด่นที่ทำให้ผู้ชมต่างจดจำ และการเลือกเพลงประกอบมาใส่ในภาพยนตร์ได้อย่างลงตัว จนเราต้องรีบกลับบ้านมาเปิดเพลงประกอบของภาพยนตร์เรื่องนี้ฟังวนซ้ำๆ อยู่หลายรอบ
อีกหนึ่งข้อดีของภาพยนตร์ที่ไม่ได้มีเนื้อหาซับซ้อนจนเกินไป คือการเปิดโอกาสให้ภาพยนตร์มีเวลาพาผู้ชมไปทำความรู้จักภูมิหลังของตัวละครแต่ละตัว รวมถึงมีเวลาในการพัฒนาความสัมพันธ์ของทีม Suicide Squad อย่างลึกซึ้งมากกว่าเดิม ซึ่งในจุดนี้เราต้องขอยกเครดิตให้กับเหล่านักแสดงนำทุกคนที่ถ่ายทอดเรื่องราว และความรู้สึกของตัวละครทุกตัวออกมาได้อย่างสมบทบาท จนสามารถทำให้ผู้ชมต่างพากันตกหลุมรักตัวร้ายเหล่านี้ได้ภายในเวลาเพียง 2 ชั่วโมง
ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อตัวภาพยนตร์ให้น้ำหนักกับการปูเรื่องราวของตัวละครทุกตัวอย่างมาก มันจึงยิ่งส่งให้การตัดสินใจฆ่าตัวละครในแต่ละครั้งของ James Gunn ไม่ได้เป็นการฆ่าตัวละครอย่างพร่ำเพรื่อ หรือฆ่าเพื่อเอาความสะใจของผู้ชมเท่านั้น แต่มันยังส่งผลกระทบมาถึงความรู้สึกของผู้ชมเป็นอย่างดีอีกด้วย
ด้วยเรื่องราวเบื้องหลังของตัวละครและความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างทางของทีม Suicide Squad ซึ่งชักชวนให้เราอยากเอาใจช่วยพวกเขาให้มีชีวิตรอดไปจนถึงตอนจบ ทั้งหมดนี้จึงส่งให้ The Suicide Squad ไม่ได้เป็นเพียงภาพยนตร์รวมทีมตัวร้ายที่โดดเด่นด้วยมุกตลกขบขัน และฉากแอ็กชันเลือดสาดอย่างที่จะเป็น
แต่ James Gunn ยังใส่ ‘หัวใจ’ ลงไปในตัวละครของเขา เพื่อปลูกปั้นให้ตัวร้ายเหล่านี้กลายเป็นตัวละครที่มีความเป็นมนุษย์มากยิ่งขึ้น มีชีวิตจิตใจยิ่งขึ้น และเข้าถึงจิตใจของผู้ชมมากยิ่งขึ้น
สำคัญที่สุด เรื่องราวของ The Suicide Squad ยังชวนผู้ชมตั้งคำถามถึงนิยามของคำว่า ‘ซูเปอร์ฮีโร่’ เพื่อชวนเราหาคำตอบว่า ในท้ายที่สุดแล้วสิ่งใดกันแน่ที่เป็นตัวกำหนดว่าพวกเขาเหล่านี้เป็น ‘คนร้าย’ หรือ ‘คนดี’
รับชมตัวอย่างได้ที่นี่
ภาพ: Warner Bros.
อ้างอิง