วันนี้ (11 กรกฎาคม) นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ แถลงการเฝ้าระวังสายพันธุ์โควิด ระบุว่า จากการเฝ้าระวังช่วงวันที่ 2-8 กรกฎาคม 2565 จำนวน 570 ตัวอย่าง พบสายพันธุ์โอมิครอน BA.4-BA.5 รวมกันจำนวน 280 ราย โดยยังพบสัดส่วนในผู้เดินทางจากต่างประเทศสูงทรงตัว 77-78% ราว 3 สัปดาห์ติดต่อกัน ส่วนในประเทศไทย พื้นที่ กทม. พบ BA.4-BA.5 เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละสัปดาห์ จาก 12% เป็น 50%, 68% และ 72% ถือว่าแพร่เร็วและจะเริ่มแซง BA.2 กับ BA.1 แต่ไม่ได้แซงเร็วมาก ส่วนเรื่องความรุนแรงนั้นยังสรุปไม่ได้ชัดเจน แต่ข้อมูลพบว่าเจอสัดส่วนของ BA.4-BA.5 ในผู้ป่วยอาการรุนแรงมากกว่าผู้ป่วยอาการไม่รุนแรง ทั้งใน กทม. และภูมิภาค แต่ตัวอย่างยังน้อยเกินไป ต้องมีข้อมูลในระดับหลักร้อยตัวอย่างถึงจะทำให้ข้อมูลแม่นยำมากขึ้น
“จากการประเมินข้อมูลเบื้องต้นของ BA.4-BA.5 น่าจะมีความรุนแรงกว่า BA.2 แต่ปัจจุบันข้อมูลยังไม่มากพอ เช่นเดียวกับในต่างประเทศ ทั้งองค์การอนามัยโลกหรืออังกฤษก็ยังไม่สรุปเรื่องนี้ชัดเจนเรื่องความรุนแรง อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลของญี่ปุ่น พบว่า BA.4-BA.5 ดื้อต่อภูมิคุ้มกันและแพร่กระจายเร็วในเซลล์ปอดของมนุษย์มากกว่า BA.2 ส่วนผลการทดลองในหนู พบว่า BA.4-BA.5 ทำให้หนูทดลองป่วยหนักกว่า BA.2 ดังนั้น จึงได้ประสานให้โรงพยาบาลสังกัดต่างๆ ส่งตัวอย่างมาตรวจมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มอาการหนักหรือเสียชีวิต รวมถึงข้อมูลของผู้ป่วยด้วย เช่น ประวัติการรับวัคซีน โรคประจำตัว รักษามานานเท่าไร เพื่อใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล” นพ.ศุภกิจกล่าว
นพ.ศุภกิจกล่าวว่า ขอให้ประชาชนยังเน้นมาตรการส่วนบุคคล, ใส่หน้ากาก, ล้างมือ, เว้นระยะห่าง และหลีกเลี่ยงกิจกรรมเสี่ยง ซึ่งหาก BA.4-BA.5 มีความรุนแรงจริง จะทำให้มีผู้ป่วยอาการหนักมากขึ้นในอนาคต และอาจกระทบกับยาหรือเตียงได้ จึงต้องช่วยกันหยุดแพร่กระจายเชื้อ รวมถึงฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นตามคำแนะนำ จะช่วยป้องกันอาการรุนแรงและเสียชีวิต นอกจากนี้ สัปดาห์หน้าจะนำข้อมูลผลการศึกษาภูมิคุ้มกันจากวัคซีนสูตรต่างๆ ที่ทดลองกับ BA.5 ว่ามีประสิทธิผลเป็นอย่างไร มาเผยแพร่ข้อมูลให้ประชาชนรับทราบอีกครั้ง