ลองผลักเกียร์ขึ้นไปอยู่ที่ตัว R แล้วถอยหลังย้อนเวลากลับไปเมื่อสักประมาณ 2 ปีที่แล้วหรือในปี 2019 ‘MINI’ ค่ายผู้ผลิตรถยนต์ระดับตำนานสัญชาติอังกฤษที่สร้างสรรค์นวัตกรรมยานยนต์กับดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์มาอย่างยาวนานได้เฉลิมฉลองช่วงเวลาครบรอบ 60 ปีของตัวเอง ด้วยการเปิดตัว ‘MINI Cooper SE’ รถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยแบตเตอร์รีไฟฟ้าแบบ 100% ออกมาสู่ท้องตลาด
การเปิดตัวของ MINI Cooper SE สร้างความฮือฮาและเรียกกระแสความสนใจจากบรรดาแฟนๆ MINI หรือผู้คนในวงการยานยนต์ได้อย่างอยู่หมัด
สาเหตุก็เพราะ นี่คือรถยนต์ไฟฟ้าที่ขับเคลื่อนด้วยแบตเตอร์รีไฟฟ้าล้วนๆ โมเดลแรกจาก MINI ที่วางจำหน่ายในท้องตลาด ทั้งยังเป็นการเลือกเปิดตัวในช่วงที่กระแสความสนใจในยานยนต์พลังงานทางเลือก รถ EV กำลังเริ่มเทคออฟอีกต่างหาก
ข้อมูลที่น่าสนใจจาก MINI ประเทศไทย ยังพบอีกด้วยว่า ทันทีที่พวกเขาได้เปิดให้จองตัวรถยนต์ MINI Cooper SE ผ่านช่องทางออนไลน์เมื่อช่วงปีที่แล้ว โควตา 25 คันสำหรับการจำหน่ายในประเทศไทยก็ถูกจองหมดเกลี้ยงภายในระยะเวลาแค่ 31 วินาทีเท่านั้น!
มาปีนี้ MINI ก็ไม่ปล่อยให้แฟนๆ ต้องรอคอยกันนาน เมื่อพวกเขาได้เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ของตัวเองออกสู่ท้องตลาดอย่างเป็นทางการเรียบร้อย ภายใต้ชื่อรุ่น ‘THE NEW ALL-ELECTRIC MINI’
THE NEW ALL-ELECTRIC MINI รถไฟฟ้าที่จะพาคุณไปโลดแล่นในทุกๆ เส้นทาง กับดีไซน์ที่เหนือระดับ
THE NEW ALL-ELECTRIC MINI มาพร้อมกับสมรรถนะตัวรถที่ให้กำลังสูงถึง 184 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 270 นิวตันเมตร ให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ที่ 7.3 วินาที
ให้ความเร็วสูงสุดที่ 150 กม./ชม. โดยต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ตัว THE NEW ALL-ELECTRIC MINI สามารถวิ่งได้สูงสุดที่ราว 217 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน NEDC: ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและลักษณะการขับขี่ของตัวผู้ขับด้วย) ขนาดแบตเตอร์รีอยู่ที่ 32.6 kWh ติดตั้งอยู่ใต้ท้องรถในรูปทรงตัว T อัตราการใช้พลังงานไฟฟ้า 17 kWh/100 กม.
เมื่อตำแหน่งของแบตเตอรี่แรงดันสูงอยู่บริเวณใต้ท้องรถ เจ้า MINI ELECTRIC จึงมีพื้นที่เก็บสัมภาระมากกว่า MINI รุ่นอื่นๆ โดยตัวรถยังถูกออกแบบให้สูงกว่า MIN รุ่นอื่นถึง 18 มม. (ด้วยเหตุผลเรื่องระยะห่างระหว่างตำแหน่งแบตและพื้นถนน) แต่ยังคง มีจุดศูนย์ถ่วงต่ำกว่าของ MINI Cooper S อย่างน้อย 30 มม.
โหมดการขับขี่จะมีถึง 4 รูปแบบ ได้แก่ Sport, MID, GREEN, และ GREEN+ ซึ่งสามารถช่วยเพิ่มระยะทางในการขับขี่ และประหยัดพลังงานได้มากขึ้น
ไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะ THE NEW ALL-ELECTRIC MINI ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีที่ให้ความรู้สึกแบบ One-Pedal Feeling ผ่าน ‘ระบบนำพลังงานจากการเบรกกลับมาใช้ใหม่’ หรือ Regenerative brake)
ภายในห้องโดยสารของ NEW ALL-ELECTRIC MINI กับดีไซน์สุดล้ำ
เพราะเมื่อเรายกเท้าออกจากคันเร่ง ตัวรถจะชะลอความเร็วลงทันที แต่เรายังสามารถขับขี่โดยใช้ความเร็วต่ำได้โดยที่ไม่ต้องแตะเบรก (เหมือนใช้คันเร่งเป็นเป้นแบรกชะลอความเร็วไปในตัว) เพื่อช่วยให้ประหยัดพลังงานมากยิ่งขึ้น
หน้าปัดแสดงสถานะข้อมูลต่างๆ ของตัวรถแบบดิจิทัล
อีกจุดเด่นที่จะลืมกล่าวถึงไปไม่ได้เลยคือ THE NEW ALL-ELECTRIC MINI ยังมาพร้อมกับสีใหม่สุดขรึม เท่ เอาใจใครที่ชอบความเข้มกันแบบเต็มๆ เพราะ MINI เพิ่มสีดำ ‘Enigmatic Black’ เข้ามาให้เป็นอีกออปชันทางเลือกด้วย จากเดิมจะมีแค่สีโทนขาวเงิน White Silver Metallic เท่านั้น
อีกส่วนที่มีการปรับเพิ่มเติมแต่งเสริมขึ้นมาคือดีไซน์กระจังหน้าที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ใช้กระจังหน้าแบบปิด (ไม่จะเป็นต้องมีช่องระบายอากาศเพื่อลดอุณหภูมิความร้อน) เปลี่ยนมาใช้โลโก้ cooper S สีเหลืองแทนตราสัญลักษณ์หัวปลั๊กไฟแบบในรุ่นก่อน แล้วปรับดีไซน์ตัวรถทั้งหมดให้ลงตัวมากขึ้นกว่าเดิมอีกเป็นกอง
รถยนต์ไฟฟ้าที่ขับวิ่งในเมืองได้สบายๆ ไม่ต้องกังวลเรื่องแบตหมด
ตามที่ได้กล่าวไปในข้างต้นว่า รถไฟฟ้า THE NEW ALL-ELECTRIC MINI สามารถวิ่งได้สูงสุดที่ราว 217 กิโลเมตร เพราะฉะนั้นมันจึงเหมาะมากๆ กับผู้ใช้งานคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม แต่ขณะเดียวกันก็ใช้ชีวิตประจำวันในเมืองเป็นหลัก เพราะด้วยความที่เป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบ 100% จึงช่วยให้ประหยัดค่าเชื้อเพลิง (ชาร์จไฟฟ้า) ได้แบบมหาศาล (กิโลเมตรละไม่ถึงบาท)
ยิ่งเมื่อมองในแง่ของดีไซน์ตัวรถที่มีความกะทัดรัดแล้ว THE NEW ALL-ELECTRIC MINI ก็ยังสามารถพาคุณซอกแซกไปได้ทุกที่ที่ต้องการ จอดได้อย่างไร้กังวล คล่องตัว ที่สำคัญเรายังได้ร่วมรักษ์และดูแลโลกใบนี้ไปด้วยการไม่ปล่อยมลพิษและคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา
ไฟท้ายเอกลักษณ์ของ MINI มาพร้อมกับล้อแมกซ์อัลลอยขนาด 17 นิ้ว
สำหรับข้อมูลเรื่องการชาร์จแบตฯ ตัวรถนั้น THE NEW ALL-ELECTRIC MINI จะสามารถชาร์จแบบเร็วหรือ DC charger (Quick charging 50kW) 0-80% ได้ภายในระยะเวลาเพียง 36 นาทีเท่านั้น ส่วนชาร์จผ่าน AC Wallbox (7.4 kW) จะใช้เวลา 3 ชั่วโมง 12 นาที ส่วนถ้าใช้ไฟบ้านทั่วไปจะต้องชาร์จทิ้งไว้ทั้งคืน 12 ชั่วโมง
ส่วนใครที่กังวลเรื่องแบตเตอร์รีในระยะยาว MINI ประเทศไทยก็จะรับประกันตัวแบตเตอร์รีนานสุดถึง 8 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร (แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน) ส่วนประกันตัวรถและฟรีค่าบำรุงรักษา หรือ MSI (MINI Service Inclusive) มาให้เลยที่ 4 ปี / ไม่จำกัดระยะทาง หรือสามารถอัพเกรดได้เป็น 6 ปี/ ไม่จำกัดระยะทาง ได้อีกต่างหาก
โดยสรุปก็คือ THE NEW ALL-ELECTRIC MINI เป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่เหมาะมากๆ กับคนที่กำลังมองหารถยนต์ไฟฟ้าสักคัน ใส่ใจเทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ใช้งานที่มีไลฟ์สไตล์ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองเป็นหลัก
THE NEW ALL-ELECTRIC MINI ก็จะตอบโจทย์คุณได้ตรงจุดสุดๆ และยังช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทางได้อีกด้วย (ดีไม่ดี เวลาที่ไปจอดในห้างเวลาเร่งด่วน ก็หาที่จอดง่ายกว่ารถยนต์สันดาปทั่วไป เพราะสามารถจอดในจุดที่เป็น Charging Station ได้ ซึ่งเป็นสิทธิพิเศษเฉพาะผู้ใช้ยานยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น)
เรียกได้ว่าถ้าเปรียบเทียบ THE NEW ALL-ELECTRIC MINI เป็นคนสักคนหนึ่ง คนคนนี้ก็ค่อนข้างเป็นคนที่ทันสมัย มีรสนิยม ทำงานเก่ง คล่องตัว และปรับตัวเองได้รวดเร็วในทุกสถานการณ์ ขณะเดียวกันก็ยังมีความขี้เล่น เข้าถึงง่าย และเป็นกันเองอีกต่างหาก
และพิเศษสุดๆ สำหรับผู้ที่สนใจ THE NEW ALL-ELECTRIC MINI ทาง MINI ประเทศไทยยังได้เพิ่มทางเลือกโปรโมชันมาให้โดยเฉพาะ (เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง)
1. เลือกดาวน์ 0%
2. เลือกผ่อนเพียงเดือนละ 9,900 บาท
หรือ 3. รับฟรี! Wall Charge พร้อมประกันภัยชั้น 1 นานสูงสุด 1 ปี
MINI 3 Door-Hatch
MINI Convertible
MINI JCW
ขณะที่นอกเหนือจาก THE NEW ALL-ELECTRIC MINI แล้ว MINI ยังได้เปิดตัว MINI 3 Door-Hatch รุ่น 3 ประตู, MINI Convertible แบบะเปิดประทุน และ MINI JCW รุ่นยอดฮิตในตำนานออกมาเพื่อเปลี่ยนแปลงรูปโฉมและดีไซน์ของโมเดลรุ่นรถยอดนิยมของพวกเขาด้วย (ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://bit.ly/2Sql6wQ)