วันนี้ (11 พฤษภาคม) ศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน เปิดเผยว่า ตามที่โฆษกกองทัพเรือได้ออกมาชี้แจงกรณีที่ปรากฏข่าวว่า กองทัพเรือเสนอขอใช้พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติในพื้นที่จังหวัดระยอง 4,600 ไร่จากกรมป่าไม้ โดยอ้างว่าเป็นเรื่องความมั่นคงของชาติ เกี่ยวกับที่ตั้งทางยุทธศาสตร์และยุทธวิธีทางทหาร และบัญชีพิกัดเป้าหมายสำคัญทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติ ซึ่งอาจถูกโจมตีเป็นอันดับแรกเมื่อเกิดความไม่สงบ และยังอ้างต่อไปว่าบุคคลทั่วไปมิได้รับทราบ รับรู้ความเข้าใจอย่างครบถ้วน ต่อแนวนโยบายการพัฒนาประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี หรือแนวนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของชาติ แล้วนำมาวิพากษ์วิจารณ์กันบนสื่อ อาจเป็นเรื่องที่เสี่ยงต่อการละเมิดหรือการเปิดเผยความลับของทางราชการนั้น
การวิพากษ์วิจารณ์และท้วงติงของประชาชนเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญที่สามารถทำได้ ตามมาตรา 78 ประกอบ มาตรา 257 หากกองทัพเรือยังคงใช้เงินจากภาษีของประชาชนอยู่ และประชาชนย่อมตรวจสอบการทำงานของหน่วยงานรัฐได้ทุกกระทรวง ทบวง กรม ไม่มีหน่วยงานใดหรือผู้ใดมีอภิสิทธิ์อยู่เหนือรัฐธรรมนูญได้ แม้แต่ทหาร หรือกองทัพเรือ และที่สำคัญอย่าดูถูก ดูแคลนประชาชนว่าไม่รับรู้ รับทราบ หรือไม่เข้าใจแนวนโยบายการพัฒนาประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี หรือแนวนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของชาติ เพราะเชื่อว่าคนไทยทั้ง 66 ล้านคนถ้าไม่ได้กินแกลบหรือกินหญ้า ย่อมรู้ดีกว่าการพัฒนาสังคมและประเทศชาติในยุค 4.0 นั้นต้องคำนึงถึงอะไรเป็นลำดับต้นๆ
ข้ออ้างของกองทัพเรือที่ว่า ที่ผ่านมากองทัพเรือได้รับอนุญาตให้ใช้พื้นที่ป่านี้มา 30 ปีแล้วเพื่อใช้เป็นพื้นที่ฝึกป้องกันภัยทางอากาศให้แก่สนามบินอู่ตะเภานั้น เรื่องดังกล่าวเป็นอดีตไปแล้ว ในขณะนี้สนามบินอู่ตะเภาถูกแปรเปลี่ยนเป็นสนามบินเพื่อการพาณิชย์ โดยเปิดให้กลุ่มนายทุนเข้ามาสัมปทานเบ็ดเสร็จไปแล้ว การเอาเงินภาษีของประชาชนมาตั้งเป็นหน่วยทหารต่อสู้อากาศยานป้องกันสนามบินก็คือการปกป้องธุรกิจของเอกชนใช่หรือไม่ และที่สำคัญการขอเพิ่มพื้นที่จาก 2,558 ไร่ เป็น 4,600 ไร่ ไม่มีความจำเป็นใดๆ เพราะพื้นที่แนวนิรภัยการบินนั้นเขามีไว้ห้ามสร้างตึกหรืออาคารสูงเท่านั้น ซึ่งเมื่อเป็นพื้นที่ป่าสงวนฯ จะไปมีตึกอาคารสูงเกิดขึ้นได้อย่างไร นอกจากจะกันพื้นที่ไว้เพื่อสร้างบ้านรับรองให้กับนายทหารระดับสูงจะได้มีวิวสวยๆ เหมือนที่ภูเขาสัตหีบ แล้วปักป้ายว่า ‘เขตทหารห้ามเข้า’ ใช่หรือไม่
ทั้งนี้เป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 65 นั้น กองทัพเรือเข้าใจหรือไม่ว่าการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนตามหลักธรรมาภิบาลต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมและต้องรับฟังความคิดเห็นของประชาชนทุกภาคส่วนอย่างทั่วถึงด้วย ดังนั้นหากกองทัพเรือประสงค์จะอยากได้ที่ดินป่าสงวนแห่งชาติในจังหวัดระยองกว่า 4,600 ไร่มาใช้เพื่อกิจการกองทัพจริงๆ ก็ขอได้โปรดให้ประชาชนคนไทยทั้งประเทศเข้ามามีส่วนร่วมในการออกเสียงประชามติตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด จึงจะถือว่าชอบ ถ้าทำไม่ได้ก็ขอได้โปรดพับแผน พับโครงการดังกล่าวไปเสีย เพราะประชาชนยุคนี้เขารู้ทันทหารหมดแล้ว
ก่อนหน้านี้ พล.ร.ท. ประชาชาติ ศิริสวัสดิ์ รองเสนาธิการทหารเรือ และโฆษกกองทัพเรือ ชี้แจงกรณีข่าวการนำเอกสารของกองทัพเรือที่เสนอผ่านกรมป่าไม้มาเผยแพร่ทางสื่อสาธารณะว่า เอกสารดังกล่าวเป็นเรื่องความมั่นคงของชาติ เกี่ยวกับที่ตั้งทางยุทธศาสตร์และยุทธวิธีทางทหาร และบัญชีพิกัดเป้าหมายสำคัญทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติต่อการถูกโจมตีเป็นอันดับแรกเมื่อเกิดความไม่สงบ
การที่มีบุคคลทั่วไปที่ไม่ได้เข้าใจอย่างครบถ้วนต่อแนวนโยบายการพัฒนาประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี หรือแนวนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของชาติแล้วนำมาวิจารณ์บนหน้าหนังสือพิมพ์รายวัน เป็นเรื่องที่เสี่ยงต่อการละเมิดหรือการเปิดเผยความลับของทางราชการเป็นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ดี กองทัพเรือขอขอบคุณสำหรับข้อห่วงใยที่ฝ่ายต่างๆ นำเสนอไว้ในข่าว
“กองทัพเรือขอเรียนย้ำให้ทราบว่า ที่มีหนังสือไปตามข่าวที่ปรากฏนั้น เพราะที่เคยขอใช้ประโยชน์พื้นที่ไว้เดิมจะหมดอายุ ซึ่งก็เป็นการดำเนินการทางธุรการในการขอใช้ประโยชน์ตามที่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาลมาแต่อดีต จึงไม่ใช่จะนำมาปกป้อง EEC เพราะต่อให้ไม่มี EEC กองทัพเรือก็ต้องมีหน่วยป้องกันสนามบินอู่ตะเภาซึ่งเป็นสนามบินของกองทัพเรือ เหมือนกับกองทัพอากาศที่ต้องมีหน่วยทหารต่อสู้อากาศยาน ทำหน้าที่ป้องกันสนามบินต่างๆ”
ทั้งนี้ที่ผ่านมากองทัพเรือได้รับอนุญาตให้ใช้พื้นที่ป่านี้มา 30 ปีแล้ว ในการซ่อนพรางหน่วย ซ่อนพรางยุทโธปกรณ์ และเป็นพื้นที่ฝึกป้องกันภัยทางอากาศให้แก่สนามบินอู่ตะเภา และในส่วนที่ขอเพิ่มนั้น เนื่องจากความจำเป็นด้านนิรภัยการบินในการก่อสร้างรันเวย์หมายเลข 2 ของสนามบินอู่ตะเภา ซึ่งสัมพันธ์กับความสูงและเนื้อที่ขอบเขตของเขาโกรกตะแบก ซึ่งตั้งประชิดอยู่บริเวณหัวรันเวย์
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า