ย้อนกลับไปในปี 1994 เชื่อว่าหลายๆ คนคงยังจำภาพฮีโร่สายฮาผู้มีลีลากวนส้น ตาโปน ยิงฟันขาว ใบหน้าสีเขียว พร้อมสารพัดอุปกรณ์ในกระเป๋ากางเกงตั้งแต่ค้อน นาฬิกา ยันบาซูก้าที่ดึงออกมาได้ไม่หมดสิ้น ประกอบกับการแสดงอันยอดเยี่ยมของ จิม แคร์รีย์ ที่ยิ่งส่งให้ซูเปอร์ฮีโร่ผู้นี้โด่งดังจนกลายเป็นหนึ่งในไอคอนจากยุค 90s ที่ผู้คนทั่วโลกจดจำในชื่อ The Mask หรือที่คนไทยคุ้นเคยในชื่อ ‘หน้ากากเทวดา’
The Mask เล่าเรื่องของ สแตนลีย์ อิปคิส (รับบทโดย จิม แคร์รีย์) เสมียนธนาคารสุดเฉิ่มผู้มักตกเป็นตัวตลกในสายตาคนรอบข้างอยู่เสมอ ยกเว้นก็แต่ ไมโล หมาน้อยแสนภักดี และชาร์ลี (รับบทโดย ริชาร์ด เจนี) เพื่อนสนิทของเขา กระทั่งวันหนึ่งด้วยความบังเอิญ สแตนลีย์ได้ค้นพบ ‘หน้ากาก’ หน้าตาประหลาดที่มาพร้อมกับพลังลี้ลับพิสดารที่เปลี่ยนให้ผู้สวมใส่มีพลังวิเศษเหนือมนุษย์ ซึ่งนำเขาเข้าไปพัวพันกับเหตุการณ์วุ่นวายของ ดอเรียน ไทเรลล์ (รับบทโดย ปีเตอร์ กรีน) ตัวพ่อแก๊งสเตอร์เจ้าของโคโค่ บองโก้ ไนต์คลับหรูใจกลางเมือง ผู้พยายามโค่นอำนาจนายใหญ่ของแก๊ง และทีน่า คาร์ไลล์ (รับบทโดย คาเมรอน ดิแอซ) แฟนสาวสุดสวยของดอเรียนผู้เข้ามาทำให้สแตนลีย์หัวใจปั่นป่วน
นอกจากในปี 1994 จะนับว่าเป็นปีทองของวงการฮอลลีวูด แต่ยังเป็นปีทองของจิม แคร์รีย์ ที่ได้รับค่าตัว 450,000 เหรียญสหรัฐ ซึ่งถือว่าเยอะมากสำหรับ New Line Cinema ในขณะนั้น และทำให้เขากลายเป็นนักแสดงที่มีบทนำจากภาพยนตร์ซึ่งประสบความสำเร็จในปีเดียวติดต่อกันถึง 3 เรื่อง (Ace Ventura: Pet Detective, The Mask, Dumb and Dumber) รวมทั้งเป็นการเปิดตัวอย่างสวยงามของคาเมรอน ดิแอซ ที่กระโดดเข้าสู่วงการภาพยนตร์เป็นครั้งแรก หลังจากโลดแล่นอยู่ในวงการแฟชั่นมานานกว่า 6 ปี
และที่ลืมไม่ได้คือ เจ้าไมโล (ชื่อจริงคือแม็กซ์) สุนัขพันธุ์แจ็ครัสเซลล์เทอร์เรียที่กลายเป็นขวัญใจคนรักสุนัขทั่วโลก ด้วยความเฉลียวฉลาดบวกหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู แถมยังเรียกเสียงฮาจากผู้ชมได้ไม่แพ้บรรดาตัวละครมนุษย์ทั้งหลายในเรื่อง
แม็กซ์พกความแสนรู้และน่ารักมาเต็มกระเป๋าตั้งแต่รอบแคสติ้ง เรียกว่าโดดเด่นเกินเพื่อนสี่ขาตัวอื่นไปไกลจนผู้กำกับ ชัค รัสเซลล์ ถึงขนาดตกลงจ้างแม็กซ์ด้วยค่าตัว 2,000 เหรียญสหรัฐต่อสัปดาห์ รวมทั้งยังได้รับคำชมจากจิม แคร์รีย์ ไม่ขาดปากว่าแม็กซ์มักรู้อยู่เสมอว่าในเซตควรอยู่ตรงไหนและควรทำอะไร
ทั้งคาแรกเตอร์ที่โดดเด่นของตัวละคร มุกตลก ความกวน จังหวะจะโคน และฉากแอ็กชันเร้าใจทำให้ The Mask ประสบความสำเร็จอย่างสูงทั้งรายได้และคำวิจารณ์ ด้วยทุนสร้างเพียง 23 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่กวาดรายรับไปได้มากถึง 351.6 ล้านเหรียญสหรัฐ พร้อมคะแนนบนเว็บไซด์ Rotten Tomatoes ที่สูงถึง 77%
นอกจากนี้ยังถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ ครั้งที่ 67 ในสาขาเทคนิคพิเศษยอดเยี่ยม ที่ถึงแม้จะต้องพ่ายแพ้ให้กับ Forrest Gump ที่คว้าไปได้ 6 รางวัล แต่ก็นับว่า The Mask คือหนึ่งในภาพยนตร์ที่ช่วยสร้างปรากฏการณ์ให้กับปี 1994 ในฐานะปีที่มีภาพยนตร์คุณภาพออกมาเสิร์ฟคนดูมากที่สุดร่วมกับหนังชั้นยอดอย่าง The Shawshank Redemption, Pulp Fiction, Speed, Léon: The Professional, Chungking Express และ The Lion King