×

Brad Bird ผู้อยู่เบื้องหลัง Incredibles 2 ที่เริ่มงานแอนิเมชันจากการไปดิสนีย์แลนด์ตอนอายุ 11 ปี

25.06.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

5 Mins. Read
  • ครอบครัวสนับสนุนด้วยการยกห้องใต้ดินให้เป็นห้องทำงานของแบรด และซื้อกล้อง 8 มม. มือสองให้เขาไว้ถ่ายหนัง กระทั่งอายุครบ 14 ปี เขาได้สร้าง The Tortoise and the Hare แอนิเมชันขนาดสั้นความยาว 15 นาทีเรื่องแรกได้สำเร็จ
  • หลังเรียนจบจาก California Institute of the Arts แบรดเข้าทำงานที่ดิสนีย์เพื่อร่วมพัฒนาโปรเจกต์แอนิเมชันเรื่อง The Fox and the Hound (1981) ก่อนจะลาออกและได้มีส่วนร่วมในโปรเจกต์งานสร้างต่างๆ อาทิ แอนิเมชันซีรีส์ยอดฮิตอย่าง The Simpsons
  • ปลายยุค 90s แบรดได้มีโอกาสนำเสนอโปรเจกต์แอนิเมชันเรื่อง The Iron Giant ซึ่งผลงานโดนใจเพื่อนเก่าของเขาอย่าง จอห์น แลสซีเตอร์ หนึ่งในผู้ก่อตั้งพิกซาร์ และในปี 2004 แบรดได้มีโอกาสร่วมงานกับพิกซาร์ในโปรเจกต์ที่เขาเขียนบทและกำกับเองอย่าง The Incredibles

ผมก็เหมือนกับเด็กคนอื่นๆ ที่รักการ์ตูนและดูการ์ตูนอยู่ตลอด ตอนอายุ 11 ปี ผมเริ่มทำแอนิเมชันเรื่องแรกชื่อ The Tortoise and the Hare ตอนนั้นครอบครัวผมรู้จักกับ จอร์จ บรันส์ ที่ทำดนตรีให้ดิสนีย์หลายเรื่อง เขาพาผมไปทัวร์สตูดิโอดิสนีย์ที่แคลิฟอร์เนียแล้วเล่าให้คนที่นั่นฟังว่าผมสนใจงานด้านนี้เหมือนกัน 3 ปีหลังจากวันนั้น พวกเขาคงช็อกมากที่ผมส่งภาพยนตร์แอนิเมชันความยาว 15 นาทีไปให้ และมันก็ดีพอที่จะทำให้ผมได้รับการสนับสนุนจากดิสนีย์นับจากนั้น

ในปี 1968 เด็กชายแบรด เบิร์ด วัย 11 ปี มีโอกาสไปสตูดิโอดิสนีย์ที่เขาประกาศกับครอบครัวว่าสักวันหนึ่งเขาจะต้องเป็นนักสร้างการ์ตูนให้ได้ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของเด็กชายธรรมดาจากรัฐมอนทานาที่กลายมาเป็นนักวาดการ์ตูน คนเขียนบท ผู้กำกับ และหนึ่งในตำนานอันน่าเหลือเชื่อของค่ายแอนิเมชันที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่างดิสนีย์และพิกซาร์ โดยผลงานที่ผ่านมาของเขา เช่น The Incredibles (2004), Ratatouille (2006), Mission Impossible: Ghost Protocol (2011), Tomorrowland (2015) หรือภาพยนตร์แอนิเมชันภาคต่อที่กำลังสร้างปรากฏการณ์ในขณะนี้กับ Incredibles 2 (2018)

 

 

แบรด เบิร์ด เกิดเมื่อวันที่ 24 กันยายน 1957 ที่เมืองคาลิสเปล รัฐมอนทานา เป็นน้องชายคนสุดท้องในบรรดาพี่น้องทั้งหมด 4 คน พ่อของเขาทำธุรกิจอุตสาหกรรมโพรเพน เมื่ออายุ 11 ปี แบรดมีโอกาสได้ไปเที่ยวสวนสนุกดิสนีย์แลนด์ที่เขาประกาศกับครอบครัวว่าสักวันหนึ่งเขาจะต้องเป็นนักสร้างการ์ตูนให้ได้


นับตั้งแต่นั้น แบรดเริ่มพัฒนาโปรเจกต์แอนิเมชันของตัวเอง ครอบครัวก็สนับสนุนด้วยการยกห้องใต้ดินให้เป็นห้องทำงาน และซื้อกล้อง 8 มม. มือสองให้เขาไว้ถ่ายหนัง กระทั่งอายุครบ 14 ปี เขาได้สร้าง The Tortoise and the Hare แอนิเมชันขนาดสั้นความยาว 15 นาทีเรื่องแรกได้สำเร็จ แบรดนำเสนอผลงานไปยังค่ายการ์ตูนยักษ์ใหญ่อย่างดิสนีย์ ซึ่งก็ได้รับเสียงตอบรับอย่างดีถึงขนาดที่ดิสนีย์ตกลงให้เขาไปทำงานที่นั่นได้ ทั้งยังมอบทุนการศึกษาให้กับเขาหลังเรียนจบไฮสคูลเพื่อศึกษาต่อด้านแอนิเมชันที่ California Institute of the Arts ช่วงเวลานั้นทำให้เขาได้กลายเป็นเพื่อนกับ จอห์น แลสซีเตอร์ หนึ่งในผู้ก่อตั้งพิกซาร์

 

 

หลังสำเร็จการศึกษา แบรดเข้าทำงานที่ดิสนีย์เป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ เพื่อร่วมพัฒนาโปรเจกต์แอนิเมชันเรื่อง The Fox and the Hound (1981) ก่อนจะลาออกและได้มีส่วนร่วมในโปรเจกต์งานสร้างต่างๆ อีกมากมาย ทั้งแอนิเมชัน ซีรีส์ และภาพยนตร์ อาทิ Batteries Not Included (1987) ภาพยนตร์เรื่องแรกที่เขาร่วมเขียนบท และแอนิเมชันซีรีส์ยอดฮิตอย่าง The Simpsons ที่แบรดร่วมพัฒนาจากแอนิเมชันความยาวเพียง 1 นาทีให้กลายเป็นซีรีส์ขนาดยาว ซึ่งเขายังรับหน้าที่กำกับและเป็นที่ปรึกษาให้ในหลายๆ เอพิโสด  


กระทั่งช่วงปลายยุค 90s แบรดได้มีโอกาสนำเสนอโปรเจกต์แอนิเมชันเรื่อง The Iron Giant (1999) ให้กับทางวอร์เนอร์บราเธอร์ส ซึ่งเขาเขียนบทและกำกับเอง แม้สุดท้ายตัวภาพยนตร์จะไม่ประสบความสำเร็จบนบ็อกซ์ออฟฟิศเนื่องจากการโปรโมตและแผนการตลาดที่ผิดพลาด แต่ในเวลาต่อมา The Iron Giant ก็ได้กลายเป็นหนึ่งในการ์ตูนคลาสสิกของนักทำการ์ตูนในยุคหลัง


ผลงานดังกล่าวยังไปต้องตาต้องใจเพื่อนเก่าของเขาอย่างจอห์น แลสซีเตอร์ หนึ่งในผู้ก่อตั้งพิกซาร์ ส่งผลให้ในปี 2004 แบรดได้มีโอกาสร่วมงานกับพิกซาร์ในโปรเจกต์ที่เขาเขียนบทและกำกับเองอย่าง The Incredibles ซึ่งต่อมาก็ประสบความสำเร็จอย่างงดงามทั้งด้านรายได้และคำวิจารณ์ด้วยตัวเลขบนบ็อกซ์ออฟฟิศสูงถึง 633 ล้านเหรียญสหรัฐ จากทุนสร้างเพียง 92 ล้านเหรียญสหรัฐ พร้อมส่งให้แบรดเข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง 2 สาขา ได้แก่ ภาพยนตร์แอนิเมชันยอดเยี่ยม และบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม ซึ่งเขาก็สามารถคว้ารางวัลสาขาแอนิเมชันยอดเยี่ยมมาได้

 

 

หลังจากนั้นแบรดยังคงมีส่วนร่วมในเบื้องหลังความสำเร็จของภาพยนตร์อีกหลายเรื่อง ทั้งแอนิเมชันอย่าง Ratatouille (2006) ที่เขาเขียนบทและกำกับเอง ซึ่งคว้ารางวัลออสการ์ตัวที่ 2 ในสาขาภาพยนตร์แอนิเมชันยอดเยี่ยมมาได้สำเร็จ รวมถึงภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์อย่าง Mission Impossible: Ghost Protocol (2011) ที่นำแสดงโดย ทอม ครูซ และได้แบรดมานั่งแท่นผู้กำกับ ซึ่งตัวภาพยนตร์ก็ประสบความสำเร็จอย่างมาก กระทั่งกลายเป็นภาคที่ทำรายได้สูงสุดในบรรดาแฟรนไชส์ทั้งหมด นอกจากนี้แบรดยังทำงานเป็นหนึ่งในทีมแอนิเมชันเบื้องหลังภาพยนตร์ของค่ายดิสนีย์และพิกซาร์อีกมากมายทั้ง Up, Toy Story 3, Brave, Monster University, Inside Out และ Coco


สำหรับ Incredibles 2 ผลงานล่าสุดที่แบรดเขียนบทและกำกับเองที่แม้จะสร้างห่างจากภาคแรกนานถึง 14 ปี แต่กระแสความนิยมยังอยู่ดีไม่มีตก ล่าสุดกวาดรายรับรวมทั่วโลกไปแล้วกว่า 344 ล้านเหรียญสหรัฐภายในเวลาเพียงสัปดาห์เดียว ทั้งยังสร้างสถิติเป็นภาพยนตร์เปิดตัวบนบ็อกซ์ออฟฟิศสูงถึง 180 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งทำให้กลายเป็นภาพยนตร์แอนิเมชันที่มีรายได้เปิดตัวสูงสุดอันดับ 3 ของปีนี้ รองจาก Avenger: Infinity War และ Black Panther ส่วนเสียงตอบรับก็อยู่ในแง่บวกจากนักวิจารณ์ด้วยคะแนนในเว็บไซต์ Rotten Tomatoes ที่สูงถึง 94% อันเป็นอีกหนึ่งเครื่องรับประกันความสำเร็จของแอนิเมชันครอบครัวซูเปอร์ฮีโร่ภาคต่อเรื่องนี้ที่คงมีลุ้นทั้งบนชาร์ตอันดับหนังทำเงินและรางวัลจากเวทีต่างๆ อย่างแน่นอน


เหล่านี้คือเส้นทางสู่ความสำเร็จของแบรด เบิร์ด จากเด็กชายผู้มุ่งมั่นที่จะเดินตามความฝันสู่ความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ด้วยความมานะบากบั่นและความคิดสร้างสรรค์ที่ล้นเปี่ยม กลายมาเป็นเรื่องราวอันน่าเหลือเชื่อของชายผู้นี้ นักวาดการ์ตูนผู้อยู่เบื้องหลังความสุขของคนดูนับล้าน

 

 

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising