โลกอนาคตของร้านอาหาร! ฝึกทอดไก่ผ่าน VR ส่งพิซซ่าด้วยรถยนต์ไร้คนขับ และซื้อเบอร์เกอร์บนบล็อกเชน!

ใครที่เคยคิดว่าเทคโนโลยีและโลกของอาหารเป็นเคมีการจับคู่กันที่ไม่ลงตัว เห็นทีคงจะต้องเปลี่ยนความคิดกันใหม่เสียแล้ว เมื่อล่าสุดแบรนด์ร้านอาหารชั้นนำหลายแห่งเตรียมนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่างๆ เข้ามาช่วยเหลือตั้งแต่กระบวนการประกอบอาหาร ขั้นตอนการลำเลียงขนส่งไปถึงมือผู้บริโภค และการประชาสัมพันธ์ทำการตลาดให้สะดวกและสร้างสรรค์มากยิ่งขึ้น

ไล่ตั้งแต่การให้พนักงานในบริษัทฝึกทอดไก่ผ่านเทคโนโลยีโลกเสมือนจริง หรือ VR (Virtual Reality) ยานพาหนะไร้พลขับที่จะถูกนำเข้ามาใช้ในการส่งพิซซ่า หรือแม้แต่สกุลเงินดิจิทัลที่ช่วยในการแลกของสมนาคุณหรือเทรดเป็นเงินสดได้

แล้วไอเดียการผสมผสานเทคโนโลยีเพื่อชูรสความอร่อยที่ว่ามานี้เป็นผลงานของแบรนด์ร้านอาหารเจ้าใดและมีรายละเอียดอย่างไรกันบ้าง? เราได้รวบรวมมาให้คุณแล้ว

KFC กับโปรแกรมฝึกพนักงานทอดไก่ผ่าน VR เพื่อลดต้นทุนไก่จริง

ถ้าวัดกันตามเนื้องานที่ได้เห็น แบรนด์ฟาสต์ฟู้ดระดับโลกที่ขึ้นชื่อลือชาด้านเมนูไก่ทอดอย่าง ‘เคเอฟซี (KFC)’ ถือเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่จริงจังและสร้างสรรค์กับการทำโปรเจกต์แคมเปญการตลาดต่างๆ มาโดยตลอด

ล่าสุด พวกเขาเพิ่งจะเปิดตัวโปรแกรมฝึกพนักงานของร้านในการทอดไก่บนโลกเสมือนจริง หรือ VR (Virtual Reality) ผ่านแว่น Oculus Rift ไปหมาดๆ โดยโปรแกรมที่ว่าจะเป็นการฝึกพนักงานให้ทอดไก่ตามสูตรลับของผู้ก่อตั้งอย่าง ‘ผู้พันแซนเดอร์ส’ ในห้องฝึกของโลกจำลองที่เรียกว่า ‘คุกความอร่อย (Delicious Prison)’

ผู้ฝึกจะผ่านโปรแกรมในการฝึกทอดไก่แบบ VR ทั้งหมด 5 ขั้นตอน ประกอบไปด้วย 1. การคัดเลือกและเตรียมวัตถุดิบ 2. การล้างทำความสะอาด 3. การคลุกไก่ให้เข้ากับเกล็ดขนมปัง 4. การทอดแบบความดันเหนือบรรยากาศ (Pressure Frying) และ 5. การให้ผู้พันแซนเดอร์สลองชิมผลงานพร้อมรับผลการประเมินการฝึก ซึ่งตลอดกระบวนการฝึกนี้จะมีเสียงผู้พันคอยสอนและแนะนำวิธีการทอดไก่ที่ถูกต้องตามแบบฉบับของเคเอฟซี

ทั้งนี้โฆษกของเคเอฟซีได้ออกมาเปิดเผยว่า โปรแกรมการฝึกทอดไก่ผ่าน VR จะไม่ได้ถูกนำเข้ามาแทนที่การฝึกทอดไก่ในโลกของความเป็นจริงเลยเสียทีเดียว หากแต่เป็นวิธีการสร้างความบันเทิงและเฉลิมฉลองให้กับพนักงานของเคเอฟซีจำนวนมหาศาลทั่วประเทศสหรัฐอเมริกาที่ต้องทอดไก่มากกว่า 19,000 ครั้งต่อวัน

ถึงแม้จะเป็นแคมเปญสร้างสรรค์และสร้างความบันเทิงให้กับพนักงาน แต่เคเอฟซีก็บอกว่า ประโยชน์แฝงของโปรแกรมการฝึกทอดไก่ผ่าน VR นี้จะช่วยให้พวกเขาสามารถประหยัดต้นทุนในการฝึกกับวัตถุดิบจริงได้พอสมควร ทั้งยังประหยัดเวลาจากโปรแกรมการฝึกในโลกแห่งความเป็นจริงที่กินเวลานานกว่า 25 นาทีให้ลดลงเหลือเพียง 10 นาทีได้

Photo: Ford

ส่งพิซซ่าด้วยพาหนะไร้พลขับแบบ Domino และ Ford เพื่อศึกษาผลตอบรับผู้บริโภค

มีรายงานว่าแบรนด์พิซซ่าแสนอร่อยและค่ายผู้ผลิตรถยนต์จากสหรัฐอเมริกาอย่างโดมิโน พิซซ่า (Domino’s Pizza) และบริษัท ฟอร์ด มอเตอร์ (Ford Motor Company) จับมือร่วมกันนำเทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับมาช่วยในการส่งพิซซ่าตามครัวเรือนต่างๆ เพื่อศึกษาว่าผู้บริโภคจะมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างไรกับการรับพิซซ่าจากผู้ส่งที่ไม่ใช่มนุษย์ และเพื่อประโยชน์ในการวางแนวทางบริการส่งอาหารในอนาคต

ทั้งโดมิโน พิซซ่า และ ฟอร์ด มอเตอร์ มีความพยายามในการนำร่องทดลองบริการรูปแบบใหม่นี้ด้วยการเตรียมสุ่มส่งพิซซ่าให้กับผู้บริโภคที่อาศัยในเมืองแอน อาร์เบอร์ (Ann Arbor) รัฐมิชิแกน ซึ่งเปรียบเสมือนรัฐบ้านเกิดของทั้งสองแบรนด์ในช่วงเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ โดยยานพาหนะดังกล่าวจะมีวิศวกรและนักวิจัยนั่งเป็นพลขับคอยควบคุมรถในกรณีฉุกเฉินและเก็บข้อมูลตัวอย่างผลวิจัย ขณะที่ผู้บริโภคก็สามารถติดตามสถานะการจัดส่งได้จากสัญญาณ GPS

ก่อนหน้านี้ เชอรีฟ มารักบี (Sherif Marakby) หัวหน้าแผนกรถยนต์ไร้คนขับและรถยนต์พลังงานไฟฟ้าของฟอร์ด มอเตอร์ เคยออกมากล่าวผ่านบล็อกของฟอร์ดไว้ว่า บริษัทของพวกเขามีความพยายามในการเจรจาและร่วมมือกับพาร์ตเนอร์หลายๆ แห่งในการนำเทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับเข้าไปช่วยขับเคลื่อนการเดินทางของผู้คนและการขนส่งสินค้า

เช่นเดียวกันกับโดมิโน พิซซ่า ที่ก่อนหน้านี้ก็ให้ความสำคัญในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยทำการตลาดและเสิร์ฟสินค้าถึงมือผู้บริโภคอยู่ตลอด โดยมาในรูปแบบโดรนและหุ่นยนต์ส่งพิซซ่าในประเทศนิวซีแลนด์ หรือการใช้อีโมจิกดสั่งพิซซ่าในเฟซบุ๊ก

ไม่แน่ว่าในอนาคตอันใกล้นี้ หากเทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับได้รับการอนุญาตให้ขับเคลื่อนบนท้องถนนสาธารณะทั่วๆ ไปได้อย่างถูกกฎหมายและแพร่หลายมากขึ้น ธุรกิจการขนส่งและการกระจายสินค้าอาจจะลดการพึ่งพาทรัพยากรมนุษย์ได้น้อยลงกว่าที่เคย

Flytrex กับกิจการเสิร์ฟอาหารด้วยโดรนช่วยประหยัดเวลาในไอซ์แลนด์

เมื่อเร็วๆ นี้ ธุรกิจการส่ังอาหารแบบออนดีมานด์ในประเทศไอซ์แลนด์อย่าง AHA และ Flytrex บริษัทผู้พัฒนาโดรนจากอิสราเอลได้ร่วมกันพัฒนารูปแบบบริการส่งอาหารถึงมือผู้บริโภคด้วยโดรน เพื่อช่วยร่นระยะเวลาในการจัดส่งอาหารและประหยัดพลังงาน รวมถึงช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม

รูปแบบบริการเสิร์ฟอาหารด้วยโดรนในไอซ์แลนด์นี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากความต้องการแก้ไขปัญหาโดย AHA ที่เดิมทีพวกเขาต้องใช้ระยะเวลาในการจัดส่งอาหารถึงมือผู้บริโภคโดยเฉลี่ยครั้งละประมาณ 25 นาที เนื่องจากปัญหาด้านภูมิประเทศภายในเมืองเรคยาวิก (Reykjavík) ที่การเดินทางบนภาคพื้นดินเป็นไปด้วยความยากลำบาก

ตรงกันข้ามกับการนำโดรน DJI Matrice 600 ที่ได้รับการปรับแต่งโดย Flytrex ให้สามารถรองรับน้ำหนักสินค้าได้มากถึง 3 กิโลกรัม และบินในรัศมีระยะทาง 10 กิโลเมตรเข้ามาใช้ ซึ่งจะช่วยให้พวกเขาประหยัดเวลาในการเสิร์ฟอาหารถึงมือผู้บริโภคภายในระยะเวลาเฉลี่ยแค่เพียง 4 นาทีเท่านั้น และยังช่วยให้ประหยัดต้นทุนการจัดส่งสินค้าได้มากถึง 60% อีกด้วย โดยจะเริ่มทดลองให้บริการกับผู้บริโภคจำนวนกว่า 20 หลังคาเรือนต่อวัน

Photo: RussiaFeed

‘วอปเปอร์คอยน์ (WhopperCoin)’ สกุลเงินดิจิทัลของ Burger King ประเทศรัสเซีย กับวิธีพลิกโฉมการแลกของสมนาคุณ

ถือเป็นการปฏิวัติวิธีการแลกของสมนาคุณและการต่อยอดการตลาดที่ชาญฉลาดและเข้ากับยุคสมัยไม่น้อยเลยทีเดียว สำหรับ ‘วอปเปอร์คอยน์ (WhopperCoin)’ สกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) โดยแบรนด์ร้านอาหารเบอร์เกอร์ คิง (Burger King) ในประเทศรัสเซีย

โดยทุกๆ การซื้อเบอร์เกอร์วอปเปอร์แต่ละชิ้นจากเบอร์เกอร์ คิง ลูกค้าจะได้รับวอปเปอร์คอยน์ที่จะถูกจัดเก็บในรูปแบบ e-Wallet บนบล็อกเชนเพื่อสะสมสำหรับใช้แลกซื้อเบอร์เกอร์วอปเปอร์ชิ้นต่อไป หรือจะส่งต่อด้วยการแลกเปลี่ยนด้วยโทเคน หรือขายให้กับผู้ใช้งานรายอื่นๆ ก็ทำได้เช่นเดียวกัน

อีวาน เชสตอฟ (Ivan Shestov) หัวหน้าแผนกการสื่อสารประชาสัมพันธ์ของเบอร์เกอร์ คิง ประเทศรัสเซีย กล่าวว่า “ต่อไปนี้วอปเปอร์จะไม่ใช่แค่เบอร์เกอร์ที่ผู้คนในกว่า 90 ประเทศเทใจหลงรักอีกต่อไป เพราะมันจะกลายเป็นเครื่องมือในการลงทุนรูปแบบใหม่ และจากการคาดการณ์ที่ระบุว่าในอนาคตอันใกล้นี้ สกุลเงินแบบดิจิทัลจะมีมูลค่าสูงขึ้น ฉะนั้นแล้วการทานวอปเปอร์ก็ถือเป็นกลยุทธ์เสริมความมั่งคั่งทางการเงินรูปแบบหนึ่งเช่นเดียวกัน”

ทั้งนี้แอปพลิเคชันแบบใหม่ของเบอร์เกอร์ คิง ที่จะมีระบบการสะสมวอปเปอร์คอยน์นี้ จะเริ่มเปิดให้โหลดและใช้งานจริงบน App Store และ Google Play ประเทศรัสเซีย ในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้

นี่เป็นเพียงตัวอย่างความสนุกและความอร่อยที่เราได้คัดเลือกมาแค่บางส่วนเท่านั้น ซึ่งต่อจากนี้เราก็น่าจะมีโอกาสได้เห็นแบรนด์ธุรกิจร้านอาหารจากทั่วทุกมุมโลกหยิบจับเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยมาต่อยอดช่วยส่งเสริมแบรนด์ของพวกเขาได้อย่างสร้างสรรค์มากขึ้นเช่นเดียวกัน

ไม่แน่ว่าหากมีแบรนด์อาหารเจ้าใดในประเทศไทยลุกขึ้นมาทำการตลาดโดยนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้มากขึ้นเช่นนี้ บางทีพวกเขาอาจจะได้รับผลลัพธ์ที่มีค่ามากกว่าแค่รายรับก็ได้

อ้างอิง: