The Face Thailand Season 4 All Stars สัปดาห์นี้มาในโจทย์แฟชั่นวิดีโอ แต่ละทีมต้องพรีเซนต์ฟังก์ชันของรถยนต์ที่แตกต่างและยากง่ายต่างกันไป ตั้งแต่ระบบไฟ แผงคอนโซลที่มีฟังก์ชันการใช้งานที่หลากหลาย ไปจนถึงความกว้างของพื้นที่ด้านหลังรถ ความท้าทายคือการที่เมนเทอร์ต้องออกแบบการถ่ายทำเองว่าจะให้กล้องถ่ายอย่างไร เพราะฉะนั้นไม่ใช่แค่ควบคุมลูกทีมในการแสดงเพื่อพรีเซนต์สินค้า แต่ยังต้องคิดมุมกล้องที่เอื้อต่อการเล่าเรื่องที่ดีด้วย ทั้งหมดนี้มีเวลาแค่ทีมละ 5 เทกใน 20 นาทีเหมือนเดิม และกดดันเหมือนเดิม!
บทเรียนโลกการทำงานที่เราได้เรียนรู้จาก The Face Thailand Season 4 All Stars สัปดาห์นี้มีอะไรบ้าง เรามาทบทวนกันเลยครับ
ติดตามดูรายการ The Face Thailand Season 4 All Stars EP.11 ย้อนหลังได้ที่ https://tv.line.me/v/3122934/list/209332
*บทความมีการสปอยล์เนื้อหาของรายการ
เจ็บมาเหมือนกันจึงได้เข้าใจ
โมเมนต์น่าประทับใจที่สุดในสัปดาห์นี้คือหลังจากที่เมนเทอร์ลูกเกดแจ้งผลการแข่งขันกับลูกทีมแล้ว ในตอนนั้นเมนเทอร์ลูกเกดไม่แสดงความอ่อนแอออกมาแต่อย่างใด เพื่อไม่ให้ลูกทีมเสียกำลังใจว่าหัวหน้าเสียขวัญ แต่พออยู่คนเดียว เมนเทอร์ลูกเกดได้วิดีโอคอลติดต่อเมนเทอร์พีช ซึ่งเคยแข่งขันกันมาใน The Face Men Thailand โดยเมนเทอร์ลูกเกดบอกเมนเทอร์พีชว่า ซีซันนี้ตั้งแต่แข่งมา เมนเทอร์ลูกเกดยังไม่เคยพาทีมชนะเลย ทำให้เมนเทอร์ลูกเกดเข้าใจความรู้สึกของเมนเทอร์พีช และอยากจะขอโทษที่เคยพูดไม่ดีกับเมนเทอร์พีชในตอนนั้นที่แข่งไม่ชนะสักที เมื่อเมนเทอร์ลูกเกดเจอสถานการณ์แบบเดียวกันจึงเข้าใจแล้วว่าเป็นอย่างไร เมนเทอร์พีชเองก็ให้กำลังใจเมนเทอร์ลูกเกดกลับ ไม่ได้ซ้ำเติมอะไร ยังบอกว่าไม่ได้มองเรื่องแพ้ชนะ แต่เป้าหมายคือการมองว่าเด็กในทีมจะได้ประสบการณ์กลับไป ผมคิดว่านี่เป็นหนึ่งในโมเมนต์ที่ดีที่สุดประจำซีซันนี้
สิ่งหนึ่งที่เราเรียนรู้ได้จากเหตุการณ์นี้คือ ‘อย่าเกลียดใครไปจนตาย’ เคยทะเลาะ เคยตีกัน เคยพูดไม่ดีใส่กัน เคยไม่มองหน้ากัน แต่เมื่อเวลาผ่านไป เราโตขึ้น มีประสบการณ์ชีวิตบางอย่างที่เข้ามาสอนให้เราเข้าใจ เราอาจจะกลับมามองสิ่งที่เคยทำแล้วรู้สึกว่าเราไม่น่าทำแบบนั้นเลย หรือไปตกอยู่ในสถานการณ์แบบเดียวกับคนที่เราเคยเจอ และทำให้เราเข้าใจแล้วว่าตอนนั้นเขาเจออะไร เขารู้สึกอย่างไร เขาเจ็บแค่ไหน และมันทำให้เรารู้จักการขอโทษและให้อภัยกันและกัน มันกลายเป็นว่าคนที่เราเคยทำร้ายนี่แหละคือเพื่อนที่เข้าใจเราดีที่สุด ปลอบเราได้ดีที่สุด เพราะเราก็เคยเจ็บมาแบบเดียวกัน
บางทีการหมั่นคิดว่าถ้าเราเจอสถานการณ์แบบที่คนอื่นเจอแล้วเราจะเป็นอย่างไร เราจะปฏิบัติอย่างไร ก็อาจจะทำให้เราเริ่มจะเข้าใจคนอื่นมากขึ้น ถ้าเราพยายามจะเข้าใจเขาก่อน เราจะไม่ด่วนตัดสินเขา เราจะไม่ทำร้ายเขา มันเป็นการฝึกให้เราเตรียมพร้อมไปในตัว วันนี้สิ่งที่คนอื่นเจออาจจะไม่เกิดกับเรา แต่ถ้ามันเกิดขึ้น เราจะทำอย่างไร มันทำให้เราคิดหาทางป้องกันไว้เนิ่นๆ ด้วย เหมือนเรียนรู้จากชีวิตคนอื่นเพื่อมาใช้กับชีวิตตัวเอง
และถ้าเป็นไปได้ วันไหนที่ได้เข้าใจแล้วว่าคนที่เราเคยทำร้ายรู้สึกอย่างไร รีบขอโทษเขาทันทีที่เรารู้ตัวจะเป็นเรื่องที่ดีมาก เราอาจจะได้เพื่อนกลับมา และไม่มีความรู้สึกผิดหรือความรู้สึกไม่ดีติดค้างในใจอีกต่อไป
ทำร้ายกันมันเหนื่อยนะครับ
จากกันด้วยดี
ความตึงเครียดที่สุดของอีพีนี้ไม่ได้อยู่ที่ตอนแข่งขัน แต่เป็นตอนที่นิคกี้เข้าไปในห้องดำและขอสละสิทธิ์ออกจากรายการเองด้วยเหตุผลว่าเกมที่ผ่านมารู้สึกว่าไม่ใช่เกมของเขา พูดเสร็จก็เดินออกไปเฉยๆ โดยที่เมนเทอร์ริต้ายังไม่ได้ตัดสินใดๆ จนเมนเทอร์ริต้าต้องให้ทีมงานไปตามกลับมา นิคกี้บอกว่า “จะบังคับให้ผมอยู่ต่อเหรอครับ” ทำให้เมนเทอร์ริต้าซึ่งนั่งหัวโด่อยู่บอกให้ช่วยเคารพการตัดสินใจของเมนเทอร์ริต้าและเคารพกฎของรายการด้วย ไม่ใช่ว่าอยากจะออกก็เดินออกไปได้เลย ชีวิตคนเรามันไม่ได้ง่ายอย่างนั้น นิคกี้จึงตอบไปแบบไม่สนใจอะไรทั้งนั้นว่า “มันก็ง่ายอย่างนั้นแหละครับ” (เอาอย่างนี้เลย?)
ในชีวิตการทำงาน เวลาที่เราถึงจุดที่ตัดสินใจลาออก จะลาออกด้วยความรู้สึกที่ดีหรือไม่ดีก็ตาม แต่เราก็ควรให้เกียรติคนที่เราทำงานด้วยกันอยู่ จะเคยรู้สึกไม่ดีต่อกัน เกลียดกันแค่ไหน หรือรู้สึกว่าไม่อยากทำงานอีกแล้ว แต่ก็ไม่ควรถึงกับต้องมาส่งท้ายด้วยการแรงใส่กัน ฉีกหน้ากัน หรือโยนระเบิดส่งท้าย เพราะไหนๆ ก็ไม่ต้องเจอกันแล้ว เราอาจจะยังได้เจอกันอยู่ โลกการทำงานมันกลม วันหนึ่งเราอาจจะต้องเจอกันก็ได้ เราทำอะไรไว้ คนพูดถึงกันได้หมด มันอาจจะได้แค่ความสะใจที่มีซีนปาระเบิดใส่คนที่เราไม่ชอบ แต่มันอาจจะกลายเป็นซีนที่แปะเป็นตราประทับหน้าเราไปตลอดก็ได้ แทนที่คนจะจำเราในภาพที่ดีก็จะโดนกลบด้วยซีนเหวี่ยงๆ ให้เขาจำเราในสิ่งที่ดีดีกว่า จากกันไปด้วยดี
แก้แค้นเขาด้วยการลาออกไปมีชีวิตดีกว่า แล้วเราก็ลืมเขาซะ ไม่ต้องให้ความหมายกับเขามากขนาดต้องเอาเขามาอยู่ในใจด้วยความเกลียดขนาดนั้น เราได้ประโยชน์กับชีวิตกว่าด้วย
ตราบเท่าที่เรายังอยู่ในฐานะพนักงานขององค์กร เราก็ยังต้องแสดงความรับผิดชอบอยู่ จะลาออกแล้วก็อย่าเพิ่งปล่อยเกียร์ว่าง ไม่ทำงานทำการอะไร แทนที่คนจะรู้สึกดี กลับรู้สึกว่าเราอยู่ไปก็ถ่วง ออกๆ ไปเถอะ
ทำดีมาตลอดแล้ว อดทนอีกหน่อยให้เขารู้สึกเสียดายที่เราไปและเป็นกำลังใจให้เราต่อ ดีกว่าสาปส่งเราด้วยภาพที่ไม่ดี อาจจะตายตอนจบได้
อยากลาออก แต่บริษัทไม่ให้ออกจะทำอย่างไร
นิคกี้อยากออกจากการแข่งขัน แต่เมนเทอร์ริต้าไม่ยอมให้ลาออก สมมติเล่นๆ ว่าถ้าในชีวิตการทำงาน เราเดินเข้าไปขอหัวหน้าลาออกแล้วหัวหน้าไม่ยอมให้ออก เราจะทำอย่างไร
ผมคิดว่าการจะลาออกเป็นเรื่องใหญ่ เราควรไตร่ตรองมาอย่างดีแล้วว่าการลาออกคือสิ่งที่เรามั่นใจมากจริงๆ เราจึงเลือกทางนี้ ก่อนเข้าไปลาออก เราต้องวางแผนดีๆ ว่าจะบอกหัวหน้าอย่างไร เตรียมคำพูดไว้ดีๆ จะบอกตอนไหนที่เป็นจังหวะที่หัวหน้าอยู่ในจุดที่พร้อมจะรับฟัง ที่สำคัญคือต้องคิดเผื่อไว้ด้วยว่าหัวหน้าจะมีปฏิกิริยากับเราอย่างไรได้บ้าง และเราจะทำอย่างไรกับสถานการณ์แต่ละแบบ เช่น ถ้าหัวหน้ายินดีกับเรา เคารพการตัดสินใจของเรา เราจะพูดอย่างไรต่อให้ยังมีความรู้สึกที่ดีต่อกันอยู่ ถ้าหัวหน้ารั้งและให้เงินเดือนขึ้น ให้ตำแหน่งเรา เราจะตอบอย่างไร การขึ้นเงินเดือน การได้ตำแหน่ง คือสิ่งที่เราต้องการจริงๆ หรือเปล่า ถ้ามันไม่ตอบโจทย์อยู่ดี เราจะปฏิเสธหัวหน้าอย่างไรให้หนักแน่นและยังรู้สึกดีต่อกันได้อยู่ คิดไปถึงว่าถ้าหัวหน้าอาละวาด เราจะถอยมาตั้งหลักอย่างไร พวกนี้เราต้องวางแผนไว้แล้ว ไม่ใช่แค่คิดว่าจะบอกลาออกอย่างเดียว ถ้าเราไปแบบไม่วางแผน เผลอๆ หัวหน้าจับจุดได้ว่าเราไม่หนักแน่นพอ โดนกล่อมมานี่เปลี่ยนใจกันได้เลยนะครับ ถึงบอกว่าการลาออกนี่ต้องคิดดีๆ แล้วจริงๆ จึงเดินเข้าไปบอก หรือถ้าบอกไปไม่ดี ความสัมพันธ์พินาศได้เลย ต้องระวังครับ
หัวหน้าบางคนอาจจะใช้วิธีการไซโคเราให้รู้สึกผิดในการลาออก หรือแสดงปฏิกิริยาเปลี่ยนไปจากเคยรักกลายเป็นไม่เห็นเราในสายตาเลยก็เป็นได้ คนเรามีความหลากหลาย เป็นไปได้หมด อันนี้ต้องเข้าใจครับ ถ้าเจอแบบนี้ ผมแนะนำว่าถ้าเรามั่นใจว่าได้ทำทุกอย่างถูกต้องตามระบบ ได้แจ้งอย่างเป็นทางการด้วยความสุภาพ มีทางออกให้ มีความรับผิดชอบ เราทำทุกอย่างอย่างดีแล้ว แต่หัวหน้าเลือกจะใช้ไพ่ emotional กับเรา อันนี้ต้องปล่อยครับ อดทน อย่าไปวิ่งตามเกมของหัวหน้าที่ไม่มีเหตุผล ต้องแสดงความหนักแน่นในการตัดสินใจของเรา นิ่งไว้ เราไม่ได้ทำอะไรผิด ยิ่งเราหนักแน่นมากเท่าไร อีกฝ่ายจะรู้สึกได้เองว่าทำอะไรเราไม่ได้จริงๆ
ถ้าหัวเด็ดตีนขาดอย่างไรหัวหน้าก็ไม่ยอมให้เราออก เป็นไปได้ว่าเพราะหัวหน้ายังไม่รู้ว่าจะจัดการงานอย่างไรโดยไม่มีเรา ผมคิดว่าถ้าเราทำให้หัวหน้าเห็นว่าเราหนักแน่นในการตัดสินใจนี้ พร้อมกับมีทางออกที่ทำให้หัวหน้ารู้สึกว่างานจะไม่สะดุด หัวหน้าก็อาจจะสบายใจขึ้น
หลักการคือเราจะต้องทำให้การจากลาครั้งนี้ยังมีความรู้สึกที่ดีต่อกันอยู่ ต้องไม่รู้สึกว่ามีอะไรติดค้างกัน หรือเกิดอาการมองหน้ากันไม่ติด ถ้าตัดสินใจแล้วว่าจะลาออก ต้องหนักแน่นกับตัวเอง และต้องไม่บอกในเวลากระชั้นชิดเกินไปจนบริษัททำงานต่อไม่ได้ เราอาจจะช่วยบริษัทได้ด้วยการทำงานที่รับผิดชอบอยู่อย่างดีที่สุดในเวลาที่เหลือ มีระยะเวลาชัดเจนนานพอสมควรที่บริษัทจะหาคนใหม่มาแทน หรือสามารถวางระบบการทำงานให้ไม่สะดุดได้ หรืออาจจะช่วยสอนงานคนใหม่ หรือวางแผนในการส่งต่องานให้คนใหม่ให้ไม่สะดุด ถ้าเราทำให้เห็นว่าแม้เราจะลาออกไป แต่เรายังมีความรู้สึกดี ยังมีความรับผิดชอบ ยังมีน้ำใจให้บริษัทอยู่ ผมคิดว่าก็น่าจะเป็นการลาออกที่แม้จากกันไปก็ยังรู้สึกดีต่อกันอยู่
เราจะได้เรียนรู้อะไรจาก The Face Thailand Season 4 All Stars ที่เอาไปใช้กับการทำงานของเราได้อีก ติดตามได้ที่ THE STANDARD กับท้อฟฟี่ แบรดชอว์ ครับ