“มันเป็นมรสุมที่ยาวนาน คนเก่งๆ หลายคนต่างพยายาม หลายคนฝันถึงวันที่พวกเราจะทำสำเร็จ เราต้องมุ่งหน้าต่อไป”
“รสชาติของความพ่ายแพ้มันขม สิ่งเดียวที่ผมต้องการลิ้มรสคือชัยชนะ”
“มันคือแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้ลิเวอร์พูลกลายเป็นหนึ่งในทีมที่ดีที่สุดในโลก”
บทสนทนาเหล่านี้คือส่วนเล็กๆ จากตัวอย่าง The End of the Storm ภาพยนตร์สารคดีที่จะพาเหล่าเดอะ ค็อป และแฟนบอลชาวไทย ไปสำรวจทุกย่างก้าวของสโมสรลิเวอร์พูล หนึ่งในสโมสรฟุตบอลที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก แบบใกล้ชิดติดขอบสนาม หลังจากที่ เจอร์เกน คล็อปป์ ผู้จัดการคนปัจจุบันพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2019/20 ที่แฟนบอลทั่วโลกเฝ้ารอมานานกว่า 30 ปี ได้สำเร็จ
เพื่อร่วมเฉลิมฉลองให้กับชัยชนะในครั้งนี้ THE STANDARD POP ได้รวบรวม 4 เกร็ดน่าสนใจจาก The End of the Storm มาให้เหล่าเดอะ ค็อป และแฟนบอลชาวไทย ได้อุ่นเครื่องก่อนที่จะไปลงสนามพร้อมกัน 28 มกราคมนี้ ในโรงภาพยนตร์
1. The End of the Storm เรื่องราวของสโมสรลิเวอร์พูลและเหล่าเดอะ ค็อป ที่ไม่เคยปล่อยให้ลิเวอร์พูลต้อง ‘ก้าวเดินอย่างเดียวดาย’
The End of the Storm จะพาเราไปติดตามเบื้องหลังความสำเร็จของสโมสรลิเวอร์พูลแบบใกล้ชิดติดขอบสนาม ผ่านคำบอกเล่าของผู้จัดการทีม เจอร์เกน คล็อปป์, ตำนานของสโมสร เคนนี ดัลกลิช และเหล่านักเตะชุดแชมป์พรีเมียร์ลีกอย่าง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, ซาดิโอ มาเน, โรแบร์โต เฟียร์มิโน, เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค, อลิสสัน เบ็คเกอร์ ฯลฯ
พร้อมทั้งเรื่องราวของเหล่าเดอะ ค็อป จากทั่วทุกมุมโลกที่ไม่เคยปล่อยให้ลิเวอร์พูลต้อง ‘ก้าวเดินเพียงลำพัง’ รวมถึงเรื่องราวในช่วงเวลาที่สโมสรได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 และฟุตเทจเบื้องหลังความสำเร็จที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน
2. เจมส์ เออร์สคีน ผู้กำกับสารคดีฝีมือเยี่ยม ที่ขออาสาเป็นไกด์พาแฟนๆ ไปเจาะลึกเบื้องหลังสโมสรลิเวอร์พูลถึงห้องล็อกเกอร์
สำหรับผู้ที่ชื่นชอบและติดตามภาพยนตร์แนวสารคดีเป็นประจำ ก็คงจะคุ้นเคยกับชื่อของ เจมส์ เออร์สคีน ผู้กำกับสายสารคดีคนนี้เป็นอย่างดี เพราะผลงานที่ผ่านมาของเขาล้วนอัดแน่นไปด้วยเรื่องราวเบื้องลึกสุดเข้มข้น ไล่เรียงตั้งแต่ Le Mans: Racing is Everything (2017) สารคดีที่พาผู้ชมไปร่วมติดตามการแข่งขันรถยนต์ระดับโลกอย่าง Le Mans, The Ice King (2018) สารคดีตีแผ่ชีวิตจริงของ จอห์น เคอร์รี นักกีฬาไอซ์สเกตชายคนแรกที่เปิดตัวต่อสาธารณชนว่าเป็นเกย์ ในคืนวันที่คว้าเหรียญทองโอลิมปิกปี 1976 และ Billie (2019) สารคดีที่พาผู้ชมไปสำรวจชีวิตสุดโลดโผนของราชินีเพลงแจ๊ส บิลลี ฮอลิเดย์
โดยจุดเริ่มต้นของ The End of the Storm เออร์สคีนได้รับแรงบันดาลใจมาจากเรื่องราวของสโมสร Rwanda Reds ซึ่งเป็นการรวมตัวของแฟนคลับลิเวอร์พูลในเมืองคิกาลี ประเทศรวันดา โดยพวกเขานำเรื่องราวความรักในสโมสรลิเวอร์พูลมาร่วมแบ่งปัน เพื่อเยียวยาบาดแผลจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในปี 1994 จนเปรียบเสมือนเป็นครอบครัวที่สองของพวกเขา เออร์สคีนจึงเริ่มต้นจาก ‘ความรัก’ ณ จุดนั้น และเริ่มถ่ายทำสารคดีเรื่องนี้
“โปรเจกต์นี้คล้ายกับการวางแผนคว้าแชมป์ของคล็อปป์ มันเริ่มต้นเมื่อ 3-4 ปีก่อน ในปี 2017 ตอนที่ผมเป็นครีเอทีฟไดเรกเตอร์ให้กับสารคดีชุดที่ฉายทาง Amazon เรื่อง This is Football (2019) ซีรีส์เรื่องนั้นนำเสนอพลังของกีฬาฟุตบอลว่ามันเป็นเหมือนเป็นเวทีให้แสดงอารมณ์ต่างๆ ของมนุษย์” เออร์สคีนบอกเล่าที่มาที่ไปของสารคดีเรื่องนี้ให้เราฟัง
“ผมได้ร่วมงานกับนักข่าวกีฬา จอห์น คาร์ลิน เราเริ่มมองหาเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับฟุตบอล จนได้เจอเรื่องราวของสโมสร Rwanda Reds ผมและโปรดิวเซอร์ เรเชล แรมซีย์ ร่วมกันหาคำตอบว่าพวกเขาใช้ฟุตบอลเพื่อเยียวยาบาดแผลจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในปี 1994 ได้อย่างไร และสารคดีก็โดนใจคนในวงกว้าง จนสามารถคว้ารางวัล Humanitas Award สาขาสารคดียอดเยี่ยม มาได้สำเร็จ จนเรามารู้ทีหลังว่าทีมบริหารสโมสรลิเวอร์พูลได้ดูสารคดีเรื่องนี้ด้วย หนึ่งในนั้นคือประธานบริหารของสโมสร ไมค์ กอร์ดอน และ เจอร์เกน คล็อปป์ ผู้จัดการทีม ทางสโมสรจึงเสนอโอกาสให้ผมและทีมโปรดิวเซอร์พัฒนาไอเดียทำสารคดีประจำฤดูกาล 2019/20 ที่มีทั้งความสำเร็จและหายนะจากโรคระบาดโควิด-19”
3. มรสุมจากสถานการณ์โควิด-19 และการถ่ายทำที่ทุกคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าลิเวอร์พูลจะได้แชมป์หรือเปล่า
แม้ว่า The End of the Storm จะเป็นสารคดีที่พาเราไปสำรวจเส้นทางสู่แชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2019/20 ของสโมสรลิเวอร์พูล แต่เชื่อหรือไม่ว่า ในระหว่างการถ่ายทำ ไม่มีใครรับประกันได้เลยว่าทีมจะสามารถคว้าแชมป์ได้จริงๆ
“ตอนที่เราคุยเรื่องไอเดียนี้กัน ทางสโมสรลังเลว่าควรจะทำสารคดีเกี่ยวกับการคว้าแชมป์ ทั้งๆ ที่ตอนนั้นยังไม่มีอะไรการันตีเลยหรือเปล่า แต่พวกเขาก็ไว้ใจเรา แม้จะเล่นกับความคาดหวังของแฟนๆ นับล้าน แถมยังมีโรคระบาดโควิด-19 ที่วงการฟุตบอลได้รับผลกระทบไปทั่วโลกอีกต่างหาก” เออร์สคีนเล่าถึงมรสุมที่เขาและทีมงานต้องเผชิญในระหว่างถ่ายทำ
เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ระบาดไปทั่วโลก จนทำให้การแข่งขันพรีเมียร์ลีกต้องหยุดชะงัก จึงทำให้เออร์สคีนและทีมงานต้องรื้อแผนการถ่ายทำกันใหม่ทั้งหมด เพื่อวางแผนว่าจะถ่ายทำสารคดีให้จบสมบูรณ์และปลอดภัยอย่างไร
แต่ด้วยสถานการณ์โควิด-19 นี่เองที่ทำให้เออร์สคีนและทีมงานได้เก็บฟุตเทจเบื้องหลังการแก้ไขปัญหาของสโมสรลิเวอร์พูล การวางแผนเพื่อเตรียมกลับสู่สนามเมื่อทุกอย่างดีขึ้น รวมถึงการให้กำลังใจกันและกันเพื่อข้ามผ่านวิกฤตในครั้งนี้ไปด้วยกัน ซึ่งถือเป็นฟุตเทจสุดเอ็กซ์คลูซีฟที่สโมสรไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน
“ช่วงเดือนเมษายนและพฤษภาคมมันชัดเจนว่าฟุตบอลกำลังจะกลับมาเตะ เราจึงเริ่มกลับมาถ่ายทำกันอีกครั้ง เรามีโปรดิวเซอร์ในพื้นที่ต่างๆ คอยตามหาสิ่งที่เราต้องการ เพราะเราไม่สามารถขึ้นเครื่องไปตามหาด้วยตัวเองได้ เราจึงได้สัมภาษณ์แฟนๆ ลิเวอร์พูลทั่วโลกเพื่อ หาเรื่องราวสุดประทับใจมาเล่า
“ในเวลาเดียวกันเราปรึกษากับทางสโมสรเพื่อหาวิธีถ่ายทำนักเตะได้อย่างปลอดภัย ไม่ใช่แค่ต้องทำตามข้อกำหนดของสโมสรเท่านั้น แต่รวมถึงข้อกำหนด บับบลิง (จำกัดบริเวณ) ที่ลีกสั่งมาด้วย อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เป็นเหมือนเสาหลักของสารคดีเรื่องนี้คือการสัมภาษณ์ ความตั้งใจตั้งแต่แรกของผมคือการทำให้หนังเรื่องนี้แตกต่างจากหนังฟุตบอลทั่วไป เพราะฉะนั้นเราจึงคลุกคลีกับกลุ่มนักเตะ มากกว่าแค่ตั้งกล้องสัมภาษณ์คนนั้นคนนี้อย่างผิวเผิน”
4. สารคดีสโมสรลิเวอร์พูลที่คนที่ไม่อินฟุตบอลก็ดูได้
จากทุกข้อที่กล่าวมา อาจจะดูเหมือนว่า The End of the Storm คือภาพยนตร์สารคดีที่สร้างมาเพื่อเหล่าเดอะ ค็อป และแฟนบอลเท่านั้น แต่หลากหลายประเด็นที่เออร์สคีนหยิบมานำเสนอ น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับทุกคนที่ไม่เคยติดตามสโมสรลิเวอร์พูลมาก่อน ได้มาทำความรู้จักและหาคำตอบว่า เจอร์เกน คล็อปป์ ที่ทุกคนต่างยกย่องคือใคร โลกของฟุตบอลสนุกอย่างไร และ ‘ทำไม’ สโมสรลิเวอร์พูลถึงเป็นหนึ่งในสโมสรฟุตบอลที่แฟนบอลทั่วโลกต่างหลงรัก
ร่วมสำรวจทุกย่างก้าวของสโมสรลิเวอร์พูล สู่ชัยชนะที่ทุกคนต่างเฝ้ารอมานานกว่า 30 ปี และเรื่องราวสุดประทับใจของเหล่าเดอะ ค็อป ที่ไม่เคยปล่อยให้ทีมสุดรักของพวกเขาต้อง ‘เดินอย่างเดียวดาย’ ใน The End of the Storm ลงสนามพร้อมกัน 28 มกราคมนี้ ในโรงภาพยนตร์
รับชมตัวอย่างได้ที่
ภาพ: http://sahamongkolfilm.com/
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
อ้างอิง:
