จากกรณีที่มีการเผยแพร่ข่าว โดยอ้างถึงข้อมูลซึ่งมีการแปลจากเว็บไซต์ต่างประเทศ ระบุถึงเรื่องการสอบสวนในต่างประเทศของบริษัทในเครือโตโยต้าเกี่ยวกับคดีภาษีนำเข้ารถยนต์ และมีการพาดพิงถึงบุคลากร (อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกาและผู้พิพากษาฎีกา) ในกระบวนการยุติธรรมของไทยนั้น
ล่าสุดวันนี้ (4 เมษายน) สุริยัณห์ หงษ์วิไล โฆษกศาลยุติธรรม ชี้แจงข้อเท็จจริงดังนี้
ประการแรก คดีที่มีการอ้างถึงนั้นเป็นคดีที่บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องหน่วยงานรัฐที่จัดเก็บภาษีเป็นจำเลย เนื่องจากการนำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์เข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อประกอบเป็นรถยนต์รุ่น Prius มีคำขอให้เพิกถอนการประเมินและเพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของหน่วยงานที่จัดเก็บภาษี ศาลภาษีอากรกลาง ซึ่งเป็นศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินและเพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ เป็นผลให้บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด โจทก์ไม่มีความรับผิดทางภาษีอากร
ต่อมาหน่วยงานของรัฐที่จัดเก็บภาษี ซึ่งเป็นจำเลยในคดี ได้อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลภาษีอากรกลาง และศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษมีคำพิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ เป็นผลให้โจทก์ต้องรับผิดชำระภาษีอากรตามการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ โจทก์จึงยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกา ศาลฎีกามีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ฎีกาและรับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณา โดยศาลภาษีอากรกลางได้การอ่านคำสั่งคดีขออนุญาตฎีกาไปเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2564
ขณะนี้คดียังอยู่ระหว่างศาลภาษีอากรกลางดำเนินการให้ฝ่ายจำเลยยื่นคำแก้ฎีกา หลังจากนั้นศาลภาษีอากรกลางจะรวบรวมสำนวนส่งคืนศาลฎีกาเพื่อพิจารณาต่อไป ดังนั้นในคดีนี้ศาลฎีกาจึงยังไม่ได้พิจารณาพิพากษาคดี เพียงพิจารณาคำร้องขออนุญาตฎีกาเท่านั้น ซึ่งการอนุญาตให้ฎีกาเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ป.วิ.พ.) มาตรา 249 ประกอบ พ.ร.บ. จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 26 ที่กำหนดให้ศาลฎีกาพิจารณาอนุญาตให้ฎีกาเมื่อเห็นว่าปัญหาตามฎีกานั้นเป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัย ซึ่งเป็นขั้นตอนที่พิจารณาเพียงว่า ปัญหาที่ยื่นฎีกานั้นเป็นปัญหาสำคัญที่ศาลฎีกาสมควรอนุญาตให้ขึ้นสู่การพิจารณาของศาลฎีกาหรือไม่ โดยยังไม่ได้มีการพิจารณาเพื่อวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทแห่งคดีแต่อย่างใด
สำหรับคดีในกลุ่มบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ทั้ง 10 สำนวนนั้นมีทุนทรัพย์รวมกันกว่า 1 หมื่นล้านบาท คำพิพากษาของศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์ขัดแย้งกันในสาระสำคัญ ทั้งเกี่ยวพันกับความตกลงระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันกับประเทศไทย และยังเป็นกรณีที่ไม่มีแนวคำพิพากษาของศาลฎีกามาก่อน คำสั่งอนุญาตให้ฎีกาจึงเป็นไปตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 ประกอบ พ.ร.บ. จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 26
ประการที่สอง พฤติการณ์ของการแอบอ้างหรือกล่าวหาว่า อาจมีการจ่ายสินบนให้ผู้พิพากษานั้นเกิดขึ้นอยู่เสมอ ซึ่งอาจไม่มีมูลความจริงอยู่เลย แต่ก็สร้างความเสียหาย และความคลางแคลงใจในหมู่ประชาชนและสังคมโดยรวมทันทีที่มีการออกข่าวหรือแอบอ้างว่ามีการจ่ายและรับสินบน ดังนั้นการให้ข่าวลักษณะนี้ควรมีการตรวจสอบให้ชัดเจนในระดับหนึ่งก่อน
ประการที่สาม หากศาลยุติธรรมได้รับข้อมูลหรือสามารถตรวจสอบได้อย่างแน่ชัดว่า ผู้พิพากษาท่านใดกระทำการอันเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับการรับสินบนหรือไม่ ศาลยุติธรรม โดยคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม ก็จะดำเนินการตรวจสอบและลงโทษอย่างเด็ดขาดกับการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของผู้พิพากษา ทำลายความเป็นกลางของศาล และทำให้สังคมไม่เชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมของไทย ที่ผ่านมา ก.ต. ก็ดำเนินการลงโทษทางวินัยอย่างเด็ดขาดกับกรณีเช่นนี้มาโดยตลอด จึงขอแจ้งให้ทราบทั่วกัน เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง