ในยุคที่พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนเร็วมาก บรรดาร้านกาแฟจะต้องไม่ใช่แค่ที่ขายกาแฟอีกต่อไป แต่ต้องปรับตัวให้เป็นพื้นที่สร้างประสบการณ์และไลฟ์สไตล์ใหม่ๆ ถึงจะทำให้ธุรกิจอยู่รอดและเติบโตได้ระยะยาว
เช่นเดียวกับ THE COFFEE CLUB ในช่วงไตรมาสแรกของปี ผลประกอบการทั้งรายได้และกำไรเติบโตขึ้น สะท้อนให้เห็นว่าการปรับตัวทั้งในแง่ของการออกเมนูควบคู่กับการเสริมประสบการณ์ใหม่ๆ รวมถึงการขยายฐานสมาชิกผ่านแอปพลิเคชันนั้นประสบความสำเร็จ ทำให้ปัจจุบันมีสัดส่วนลูกค้าคนไทยเพิ่มขึ้นกว่า 40% ตามที่ตั้งเป้าไว้
นงชนก สถานานนท์ ผู้จัดการทั่วไป THE COFFEE CLUB ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท เอ็มเอฟ คาเฟ่ แอนด์ เรสเตอรองต์ จำกัด กล่าวว่า ในปีที่ผ่านมาร้านได้รับกำไรเพิ่มขึ้น อยู่ราวๆ 25 ล้านบาท ถ้าเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นสัดส่วนที่ค่อนข้างมาก ส่วนรายได้เกือบแตะที่ 800 ล้านบาท ถือว่าส่งสัญญาณที่ดีและในปี 2568 ตั้งเป้าสร้างการเติบโตเป็นตัวเลขสองหลัก
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- THE COFFEE CLUB เดินหน้าชิงลูกค้าคนไทย ขนทัพเมนูสุขภาพเปิด 24 ชั่วโมงที่จุฬาฯ พร้อมย้ำเมนูอเมริกาโนขายเพียงแก้วละ 60 บาท
- THE COFFEE CLUB กลับมาทำกำไรครั้งแรกในรอบ 5 ปี! พลิกวิกฤตสู่โอกาสด้วยกลยุทธ์ใหม่ที่เน้นเจาะลูกค้าคนไทยมากขึ้น
- หลังประสบความสำเร็จในการเพิ่มลูกค้าคนไทยแล้ว อีกหนึ่งเป้าหมายของ ‘THE COFFEE CLUB’ คือการเปิดร้าน 24 ชั่วโมงในพื้นที่ท่องเที่ยว
แล้วอะไรคือกุญแจสำคัญที่จะทำให้แบรนด์เติบโตได้มากขึ้น ต้องบอกว่าวันนี้ THE COFFEE CLUB เป็นแบรนด์แตกต่างจากคาเฟ่อื่น ซึ่งมีทั้งขายเครื่องดื่มและอาหารสุขภาพไว้ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
ถึงแม้ปัจจุบันเศรษฐกิจภายในประเทศจะไม่ค่อยดี จนทำให้ผู้คนอาจมาทานอาหารนอกบ้านได้ไม่บ่อยเหมือนอดีต แต่หลังจากที่ร้านได้ปรับเป็นโมเดลคาเฟ่ ประเดิมที่คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จากทราฟฟิกที่เพิ่มขึ้นถือว่าประสบความสำเร็จมาก
จากนั้นจึงได้ต่อยอดนำโมเดลคาเฟ่ มาปรับใช้ในสาขาสามย่านมิตรทาวน์ ซึ่งเห็นจากอินไซต์ที่แบรนด์เก็บรวบรวมมา พบว่าสาขานี้อยู่ในพื้นที่ใกล้มหาวิทยาลัยและโรงพยาบาล จะมีนักศึกษาจะเข้ามาใช้บริการและนั่งอ่านหนังสือกันค่อนข้างมาก
โดยจากเดิมแล้ว 1 โต๊ะอาจนั่งได้แค่ 1-2 คน แต่ร้านได้ปรับเป็นคอนเซปต์ Learning Cafe เติมเต็มพื้นที่ Co-Living & Education Space จะมีมุมให้เลือกนั่งได้คนเดียว ควบคู่กับปรับโทนร้านให้สดใส ดีไซน์โมเดิร์นที่สะท้อนตัวตนของกลุ่ม Gen Z และ First Jobber ได้อย่างชัดเจน
ทั้งนี้ตั้งเป้าให้สาขานี้เป็นแลนด์มาร์กคาเฟ่ของคนรุ่นใหม่ และในช่วงเวลาเดียวกันได้เปิดตัว 7 เมนูสุขภาพใหม่ ได้แก่ Dragon Kiss Guava Party Wake Me Orange และ Mayongchid Magic รวมถึงเมนูเฮลตี้โบวล์อีก 3 เมนู
นอกจากการเดินหน้าปรับภาพลักษณ์แบรนด์แล้ว ในครึ่งปีหลังได้ใช้งบลงทุน 60 ล้านบาท เตรียมรีโนเวตร้าน 10 สาขาทั้งในกรุงเทพฯและเมืองท่องเที่ยว ควบคู่กับการหาพื้นที่ศักยภาพเพื่อขยายสาขาใหม่ โดยเฉพาะในจังหวัดภูเก็ต
นงชนก กล่าวต่อไปว่า นโยบายของแบรนด์จะเน้นเปิดใกล้ออฟฟิศ และใกล้โรงพยาบาล ซึ่งนับเป็นความพยายามจะทำให้คนไทยรู้จักแบรนด์เรามากขึ้น ส่วนสาขาที่เปิดในแหล่งท่องเที่ยวจะเน้นเปิดที่โรงแรมเป็นหลัก
จริงๆ แล้วการที่บริษัทเน้นเปิดร้านในแหล่งท่องเที่ยวและเน้นขายอาหารเช้าทำให้ได้รับอานิสงส์จากโรงแรมระดับ 3-4 ดาวที่อยู่บริเวณรอบๆ ซึ่งโรงแรมบางแห่งอาจไม่มีอาหารเช้า เช่น สาขาที่อยู่หาดกะรน จังหวัดภูเก็ต ทำให้นักท่องเที่ยวที่พักอยู่ในโรงแรมเข้ามาใช้บริการที่ร้านและสร้างยอดขายได้ดี
เรียกได้ว่ากลยุทธ์ทั้งหมดนี้จะช่วยผลักดันให้ THE COFFEE CLUB สามารถบาลานซ์กลุ่มลูกค้าทั้งต่างชาติและคนไทยได้ โดยปัจจุบันสัดส่วนลูกค้าคนไทยอยู่ที่ 40% และต่างชาติ 60%