×

ธนาธรรับทราบข้อหาปมถือหุ้นสื่อ ยืนยันบริสุทธิ์เทียบเคียงกรณี ‘ดอน-ภาดาท์’ ชี้ใช้ ม.112 คือการราดน้ำมันเข้ากองไฟ

โดย THE STANDARD TEAM
24.11.2020
  • LOADING...
ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ

วันนี้ (24 พฤศจิกายน) ที่กองบังคับการตำรวจนครบาล 2 ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า เดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหาในคดีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติส่งฟ้องธนาธรในคดีอาญาตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. พ.ศ. 2561 มาตรา 151 จากกรณีที่ธนาธรถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นสภาพ ส.ส. ในข้อกล่าวหาถือหุ้นสื่อ

 

ก่อนขึ้นรับทราบข้อกล่าวหา ธนาธรได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ระบุว่าสำหรับคดีวันนี้ ตนยืนยันในความบริสุทธิ์ของตัวเอง ส่วนตัวแล้วขวัญกำลังใจยังดี แม้จะมีคดีความต่างๆ และมีกลุ่มบุคคลที่พยายามระรานเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการเดินทางของตน แต่ตนก็ยังมุ่งมั่นทำงานต่อไป หลังจากให้ปากคำวันนี้เสร็จ ตนก็มีกำหนดการเตรียมลงพื้นที่ต่อทั้งวัน ไม่ได้หวั่นไหวกับสิ่งที่เข้ามาคุกคามแต่อย่างใด จะตั้งใจทำงานต่อ ที่ผ่านมากำลังใจจากทุกคนสำคัญมากในการหล่อเลี้ยงเราให้เดินหน้าต่อไป

 

ผู้สื่อข่าวได้ถามถึงกรณีสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบัน และกระแสข่าวลือเกี่ยวกับการทำรัฐประหาร ซึ่งธนาธรระบุว่าการทำรัฐประหารที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่าแก้ปัญหาของประเทศไม่ได้ ความขัดแย้งในรอบนี้เองก็เกิดจากการทำรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่ส่งผลสืบเนื่องมาถึงปัจจุบัน ถ้าทุกฝ่ายยอมรับข้อเท็จจริงนี้ ทางออกที่สันติยังมีอยู่ การทำรัฐประหารไม่สามารถนำไปสู่ทางออกของประเทศได้

 

ส่วนกรณีการชุมนุมหน้าสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ในวันพรุ่งนี้ ตนต้องเรียนฝ่ายความมั่นคงและประชาชนทุกคน ขอให้ใช้ขันติธรรม การที่นักเรียน นิสิตนักศึกษา และประชาชนตัดสินใจจัดการชุมชุมในวันพรุ่งนี้ เพราะข้อเสนอของพวกเขาไม่ได้รับการรับฟัง ทั้งข้อเสนอให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มีประชาชนมาร่วมลงชื่อนับแสนคนก็ไม่ถูกรับฟังหรือนำไปประกอบการพิจารณา ตนจึงไม่แปลกใจว่าทำไมประชาชนจึงรู้สึกโกรธและขยับเส้นในการชุมนุมและการพูด เพราะเสียงเรียกร้องทั้ง 3 ข้อไม่ได้รับการตอบสนองเลย

 

ทั้งนี้ ตนไม่เชื่อว่าสถานการณ์จะบานปลายไปสู่การรัฐประหารได้ ฝ่ายอนุรักษนิยมไม่มีต้นทุนทางสังคมและการเมืองมากพอ การรัฐประหารในปี 2557 ได้ใช้ต้นทุนทางสังคมไปหมดแล้ว เห็นได้ชัดว่าในรอบ 2-3 เดือนที่ผ่านมามีความพยายามยุยงให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงเพื่อเป็นข้ออ้างในการทำรัฐประหาร แต่นักเรียน นิสิตนักศึกษา ประชาชนข้างนอกมีวุฒิภาวะมากพอ การยั่วยุให้เกิดความรุนแรงจึงไม่เป็นผล

 

ส่วนกรณีมีความพยายามนำประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 กลับมาใช้นั้น ตนมองว่าเป็นการราดน้ำมันเข้ากองไฟ

 

“เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะมานั่งไล่จับกุมใคร ถ้าฝ่ายอนุรักษนิยมยังเชื่อว่าพวกผมหรือใครอยู่เบื้องหลัง พวกเขาคิดผิด ถ้าพวกเขาคิดว่าการจับแกนนำเข้าคุกได้แล้วทุกอย่างจะจบ มันไม่ใช่ เขาไม่เข้าใจว่านี่คือเสียงของประชาชน พอตั้งต้นผิดก็คิดว่าจับแกนนำได้แล้วมันจะจบ สิ่งที่ฝ่ายอนุรักษนิยมควรทำคือเปิดใจให้กว้าง ยอมรับความเป็นจริงอย่างมีวุฒิภาวะ มาตรการที่เข้มงวดขึ้น รวมทั้งการใช้มาตรา 112 ไม่ได้ช่วยคลี่คลายสถานการณ์แต่อย่างไร แต่มันคือการราดน้ำมันเข้ากองไฟ” ธนาธรกล่าว

 

ผู้สื่อข่าวได้ถามถึงการต่อสู้คดีในวันนี้ ธนาธรระบุว่าอย่างไรตนก็ยังคงยืนยันปฏิเสธทุกข้อหาและยืนยันความบริสุทธิ์ของตน กรณีคดีนี้ตนอยากให้เทียบกับกรณีของ ดอน ปรมัตถ์วินัย กับกรณีของ ภาดาท์ วรกานนท์ จะเห็นได้ชัดถึงมาตรฐานขององค์กรอิสระในประเทศไทย เพราะประการแรกจะเห็นได้ชัดเจนว่าในกรณีของตนมีการปิดบริษัทไปแล้ว ไม่คิดจะรื้อฟื้นกิจการขึ้นมาอีก ส่วนกรณีของภาดาท์ที่มีการแจ้งกับหุ้นส่วนให้ปิดกิจการไปแล้ว แต่หุ้นส่วนยังไม่ยอมปิด แต่ศาลก็ให้เหตุผลว่าเจ้าตัวได้แสดงเจตนาแล้ว จึงไม่เป็นเหตุให้ขาดคุณสมบัติ ประการที่สอง ศาลให้เหตุผลในคดีของภาดาท์ว่าบริษัทของภาดาท์ไม่มีรายได้จากประกอบกิจการสื่อแล้ว ส่วนของตนตั้งแต่ปิดก็ไม่มีรายได้เช่นกัน แต่กลับถูกวินิจฉัยว่าขาดคุณสมบัติ

 

ธราธรกล่าวต่อไปว่าถ้าใช้มาตรฐานเดียวกับกรณีของภาดาท์ ตนจะไม่ถูกตัดสิทธิตั้งแต่แรก การดำเนินคดีในวันนี้น่าจะบ่งบอกถึงมาตรฐานการทำงานขององค์กรอิสระในประเทศนี้ได้เป็นอย่างดี องค์กรอิสระเหล่านี้มีที่มาจากการรัฐประหาร จากอำนาจที่ไม่ได้ยึดโยงกับประชาชน ถ้าเปิดใจรับฟังจะเห็นได้ว่าเอกสารหลักฐานของตนในการโอนถ่ายหุ้นสมบูรณ์เรียบร้อย ในชั้นศาลไม่มีหลักฐานแม้แต่ชิ้นเดียวที่หักล้างความสมบูรณ์ของหลักฐานเหล่านั้นได้ มีแต่อ้างถึงเรื่องการเดินทางมาจริงหรือไม่ ซึ่งก็มีหลักฐานเต็มไปหมดว่าตนหาเสียงอยู่ที่บุรีรัมย์ จะเดินทางกลับไปทำเรื่องโอนหุ้น มีใบเสร็จค่าผ่านทางครบถ้วน ตนจึงพร้อมที่จะสู้คดีนี้และยืนยันในความบริสุทธิ์อย่างถึงที่สุด

 

“ข้อหาวันนี้เกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองอย่างแยกไม่ออก เป็นความพยายามวาดภาพให้ผมเป็นปีศาจ สร้างทฤษฎีสมคบคิดขึ้นมาว่า ธนาธร ปิยบุตร พรรณิการ์ ร่วมกับอเมริกาในการอยู่เบื้องหลังการชุมนุม ใช้เยาวชนเป็นเครื่องมือล้มล้างสถาบันฯ ซึ่งล้วนแต่เป็นเรื่องที่ไม่มีมูล จนถึงวันนี้ยังไม่มีใครเอาหลักฐานมาแสดงให้ดูได้เลยแม้แต่คนเดียว คนคิดทฤษฎีสมคบคิดนี้มามีเป้าหมายชัดเจนว่าต้องการนำไปสู่การสร้างความเกลียดชังกันในสังคม ทำให้เกิดความวุ่นวาย พวกเรายืนยันชัดเจนอีกครั้งว่าไม่ได้อยู่เบื้องหลังการชุมนุม แต่เรามีความเห็นที่ตรงกันว่าต้องการเห็นประเทศไทยที่เป็นประชาธิปไตย” ธนาธรกล่าวในที่สุด

 

ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ

 

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising