สภาพัฒน์เผยว่า อัตราว่างงานในไตรมาส 1 ปี 2567 เพิ่มขึ้นแตะระดับ 1.01% จากระดับ 0.81% ในไตรมาสก่อน ห่วงการขาดทักษะของแรงงานไทยที่อาจกระทบต่อเศรษฐกิจในระยะยาว โดยเฉพาะการขาดทักษะดิจิทัลอาจทำให้ไทยเกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจคิดเป็นมูลค่าสูงถึง 3.3 ล้านล้านบาทต่อปี
วันนี้ (27 พฤษภาคม) ดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์ เปิดเผยว่า อัตราว่างงานในไตรมาส 1 ปี 2567 เพิ่มขึ้นแตะระดับ 1.01% จากระดับ 0.81% ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2566 ขณะที่ผู้มีงานทำลดลงเล็กน้อยที่ -0.1% โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 39.6 ล้านคน
ชั่วโมงการทำงานลดลงตามการลดการทำงานล่วงเวลา โดยภาพรวมและเอกชนอยู่ที่ 41 และ 44 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ซึ่งผู้ทำงานล่วงเวลาลดลงกว่า 3.6%
อย่างไรก็ดี ดนุชาระบุว่า ตัวเลขดังกล่าวไม่น่าห่วง เนื่องจากคาดว่าจะเป็นปัจจัยเชิงฤดูกาลชั่วคราวเท่านั้น เนื่องจากช่วงต้นปีที่ผ่านมาเป็นช่วงนอกฤดูการทำเกษตรกรรม ทำให้การจ้างงานภาคเกษตรกรรมที่ลดลงกว่า 5.7%
โดยการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรมยังขยายตัวได้ที่ 2.2% โดยสาขาโรงแรมและภัตตาคารขยายตัวต่อเนื่องที่ 10.6% จากการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวต่างชาติกว่า 9.3 ล้านคน เช่นเดียวกับสาขาการก่อสร้างที่ขยายตัวกว่า 5.0%
สภาพัฒน์ยังแนะว่า มีประเด็นที่ต้องติดตามในระยะถัดไป ได้แก่
- การขาดทักษะของแรงงานไทย
- ความยั่งยืนของกองทุนประกันสังคม
- การพัฒนาทักษะแรงงานเพื่อให้ได้รับค่าจ้างที่สูงขึ้น
การขาดทักษะของแรงงานไทยที่อาจกระทบต่อเศรษฐกิจในระยะยาว
โดยผลการสำรวจทักษะและความพร้อมเยาวชนและประชากรวัยแรงงาน (ASAT) ในประเทศไทย พบว่า เยาวชนและกลุ่มวัยแรงงานของไทยจำนวนมากมีทักษะ ‘ต่ำกว่า’ เกณฑ์
รายงานยังหยิบข้อมูลจาก We Are Social ที่พบว่า ทักษะด้านดิจิทัลของไทยอยู่ในอันดับที่ 39 จาก 63 ประเทศ ทั้งที่ใช้อินเทอร์เน็ตต่อวันในระดับสูง
นับว่าเป็นเรื่องที่น่ากังวล เนื่องจากการขาดทักษะดิจิทัลอาจทำให้ไทยเกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจคิดเป็นมูลค่าสูงถึง 3.3 ล้านล้านบาทต่อปี จากผลิตภาพของแรงงานที่ไม่สูงนัก และการใช้นวัตกรรมที่น้อย ตลอดจนการลงทุนจากต่างชาติที่ลดลง
“สถานการณ์ดังกล่าวเป็นประเด็นที่น่ากังวล โดยเฉพาะเมื่อนำมาประกอบกับปัญหาเด็กเกิดน้อย ซึ่งจะทำให้จำนวนแรงงานที่มีสมรรถนะสูงในอนาคตลดน้อยลง สะท้อนถึงความจำเป็นที่ไทยจะต้องเร่งพัฒนาทักษะให้แก่ประชากรอย่างจริงจัง เพื่อให้สามารถทดแทนกำลังแรงงานที่จะหายไป และสามารถรองรับการพัฒนาไปสู่เศรษฐกิจและอุตสาหกรรมมูลค่าสูงได้” รายงานระบุ
‘รายจ่าย’ กองทุนประกันสังคมใกล้แตะ ‘รายรับ’
ผลการศึกษางบประมาณด้านการคุ้มครองทางสังคมของประเทศไทย จากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในปี 2566 พบว่า ช่องว่างระหว่างรายรับและรายจ่ายของกองทุนประกันสังคมมาตรา 33 และมาตรา 39 มีแนวโน้มลดลงอย่างมาก โดยมีสาเหตุสำคัญมาจากการปรับเพิ่มการให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้ประกันตนในด้านต่างๆ
นอกจากนี้ กองทุนประกันสังคมมีแนวโน้มจะต้องจ่ายเงินบำเหน็จบำนาญให้แก่ผู้ประกันตนที่เกษียณอายุมากขึ้นอย่างรวดเร็วในอนาคตตามการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร โดยในปี 2575 อาจมีผู้ขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพมากถึง 2.3 ล้านคน