วันนี้ (17 ธันวาคม) กรุงเทพฯ – สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) ร่วมกับ World Justice Project (WJP) เปิดตัวรายงานสถานการณ์หลักนิติธรรมเชิงลึกของประเทศไทย (The Rule of Law in Thailand) ประจำปี 2568 โดยชี้ให้เห็นว่าสถานการณ์ของไทยยังคง ‘ทรงตัว’ ในระดับกลางของโลก
รายงานพบว่าไทยมีจุดอ่อนสำคัญเรื่องการทุจริตและการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่แน่นอน ซึ่งถือเป็นอุปสรรคใหญ่ในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนานาประเทศ และอาจกระทบต่อเป้าหมายสำคัญของรัฐบาลในการเข้าเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ภายในปี 2570

สถานการณ์หลักนิติธรรมไทย: แข็งแกร่งด้านความมั่นคง แต่เปราะบางด้านความโปร่งใส
จากการเปิดเผยผลสำรวจดัชนีชี้วัดหลักนิติธรรม (Rule of Law Index) ประจำปี 2568 ซึ่งจัดทำโดย WJP ครอบคลุม 143 ประเทศทั่วโลก พบว่า ประเทศไทยได้รับคะแนน 0.50 คะแนน (จากคะแนนเต็ม 1) จัดเป็นอันดับที่ 77 ของโลก ซึ่งถือว่าคะแนนยังคงที่เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แต่เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของโลก (0.55 คะแนน) ไทยยังถือว่าต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน
ในระดับอาเซียน ไทยอยู่ในอันดับที่ 4 ตามหลังสิงคโปร์ (อันดับ 16), มาเลเซีย (อันดับ 56) และอินโดนีเซีย (อันดับ 69) แม้จะมีคะแนนนำหน้าเวียดนาม ฟิลิปปินส์ และกัมพูชา แต่ช่องว่างระหว่างไทยกับประเทศผู้นำในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกยังคงมีอยู่มาก
ดร.ศรีรักษ์ ผลิพัฒน์ ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก WJP วิเคราะห์ผลการสำรวจเจาะลึกใน 8 ปัจจัยหลัก พบว่าประเทศไทยมีจุดแข็งที่โดดเด่นมากในด้านความสงบเรียบร้อยและความมั่นคง ซึ่งได้คะแนนสูงถึง 0.75 สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก สะท้อนถึงประสิทธิภาพในการควบคุมอาชญากรรมและความขัดแย้งภายในประเทศ
แต่ปัจจัยที่ฉุดรั้งคะแนนภาพรวมของไทยอย่างมีนัยสำคัญคือการปลอดจากคอร์รัปชันที่ได้คะแนนเพียง 0.45 และการบังคับใช้กฎหมายที่ได้ 0.40 คะแนน ซึ่งบ่งชี้ถึงปัญหาการขาดประสิทธิภาพ ความไม่แน่นอนในการบังคับใช้กฎระเบียบ และความไม่โปร่งใสในภาครัฐ ซึ่งเป็นปัจจัยลบต่อบรรยากาศการลงทุน
เสียงสะท้อนจากประชาชน: เสรีภาพเบ่งบาน แต่ ‘การจ่ายสินบน’ พุ่งสูง
รายงานฉบับนี้ยังได้เจาะลึกผลสำรวจความคิดเห็นและประสบการณ์ของประชาชนทั่วไปจาก 1,100 ครัวเรือนทั่วประเทศ เปรียบเทียบกับข้อมูลปี 2561 ซึ่งสะท้อนความเปลี่ยนแปลงในสังคมไทยที่น่าสนใจ
- เสรีภาพในการแสดงออกดีขึ้น: ประชาชนถึง 85% รู้สึกว่าสามารถแสดงความคิดเห็นต่อต้านรัฐบาลได้ (เพิ่มขึ้นจาก 68%) และ 90% รู้สึกว่ามีอิสระในการรวมกลุ่มทางสังคม
- การเลือกปฏิบัติรุนแรงขึ้น: มีรายงานการถูกเลือกปฏิบัติเพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่า (จาก 10% เป็น 28%) โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องอายุ รูปลักษณ์ภายนอก และเพศ
- การทุจริตในชีวิตประจำวัน: ผลสำรวจพบว่า ประชาชนมีประสบการณ์ต้อง ‘จ่ายสินบน’ เพื่อขอใบอนุญาตจากภาครัฐเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ จากเดิม 7% พุ่งสูงเป็น 19% สะท้อนให้เห็นว่าปัญหาคอร์รัปชันในระดับปฏิบัติการยังคงรุนแรง
- วิกฤตศรัทธา: ประชาชน 45% เชื่อว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีการทุจริต และ 36% เชื่อว่าตำรวจส่วนใหญ่มีการทุจริต แม้ว่าความเชื่อมั่นต่อผู้พิพากษาและอัยการจะยังอยู่ในเกณฑ์สูง (80% และ 76% ตามลำดับ)

รัฐบาลรับลูก: ดันหลักนิติธรรมเป็น ‘โครงสร้างพื้นฐานที่มองไม่เห็น’
ศาสตราจารย์ ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี ปาฐกถาพิเศษภายในงาน โดยระบุว่า ‘หลักนิติธรรม’ เปรียบเสมือน ‘โครงสร้างพื้นฐานที่มองไม่เห็น’ ของประเทศ ซึ่งมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพ เพราะหากนักลงทุนต่างชาติไม่เชื่อมั่นในความยุติธรรมและการบังคับใช้กฎหมายของไทย พวกเขาก็จะไม่กล้าเข้ามาลงทุน
รองนายกรัฐมนตรีย้ำว่า การเข้าเป็นสมาชิก OECD ถือเป็นวาระแห่งชาติที่ต้องเร่งยกระดับมาตรฐานธรรมาภิบาล โดยรัฐบาลได้มอบหมายให้ 3 หน่วยงานหลักขับเคลื่อนร่วมกัน ได้แก่ สำนักงาน ก.พ.ร. (ดูแลการประเมินผลภาครัฐ), สถาบันพระปกเกล้า (สร้างความเข้าใจฝ่ายนิติบัญญัติ) และ TIJ (ประสานความร่วมมือภาคเอกชนและประชาสังคม) เพื่อสร้างสมดุลระหว่างอำนาจรัฐและสิทธิประชาชน และปฏิรูปกฎหมายที่ล้าสมัย

ข้อเสนอเชิงยุทธศาสตร์: โมเดล ‘แรงดึงจากสากล-แรงผลักจากภายใน’
เพื่อเปลี่ยนความมุ่งมั่นให้เป็นการปฏิบัติจริง ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ประธานกรรมการ TIJ ได้เสนอแนวทางยุทธศาสตร์สำคัญในการกล่าวปิดงาน โดยระบุว่า กุญแจสู่ความสำเร็จในการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมและการเข้าสู่ OECD คือโมเดล ‘แรงดึงจากสากล ผสานแรงผลักจากภายใน’
- แรงดึงสากล: คือการใช้มาตรฐานโลกจากกรอบของ OECD และตัวชี้วัดที่เป็นรูปธรรมของ WJP มาเป็นเครื่องมือในการ ‘ดึง’ ให้เกิดการยกระดับมาตรฐานภายในประเทศให้ทัดเทียมนานาชาติ
- แรงผลักจากภายใน: คือการระดมพลังจากเครือข่ายภายในประเทศ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาสังคม ให้ร่วมมือกันเป็น ‘แรงผลัก’ ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง
ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.กิตติพงษ์ ย้ำว่า TIJ พร้อมรับบทบาทเป็น ‘ตัวกลาง’ ในการนำข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้มาออกแบบเป็นกรอบนโยบายที่จับต้องได้ เพื่อให้การปฏิรูปเกิดขึ้นจริง ไม่ใช่เพียงแค่รายงานบนหน้ากระดาษ

บทสรุปและก้าวต่อไป: สร้าง ‘พิมพ์เขียว’ ที่มีชีวิต
บนเวทีเสวนาเชิงยุทธศาสตร์ ดร.พิเศษ สอาดเย็น ผู้อำนวยการ TIJ ได้เสนอแนะเพิ่มเติมว่า ประเทศไทยควรมี ‘พิมพ์เขียว’ ด้านหลักนิติธรรมระดับชาติที่เป็น ‘เอกสารที่มีชีวิต’ ซึ่งมีความยืดหยุ่นและพร้อมปรับปรุงให้ทันต่อสถานการณ์อยู่เสมอ โดยอาศัยข้อมูลป้อนกลับจากประชาชน
นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้สรุปข้อเสนอ ‘Quick Wins’ 3 เสาหลักเพื่อเร่งสร้างความเชื่อมั่น ได้แก่
1. การต่อต้านคอร์รัปชันอย่างจริงจัง
2. การผลักดันรัฐบาลเปิดและข้อมูลเปิดเพื่อความโปร่งใส
3. การปฏิรูปกฎระเบียบ เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
รายงานสถานการณ์หลักนิติธรรมในประเทศไทยฉบับนี้ จึงนับเป็นก้าวแรกที่สำคัญของการใช้ ‘ข้อมูลเชิงประจักษ์’ มาเป็นเข็มทิศนำทางประเทศไทยสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนและการเป็นที่ยอมรับบนเวทีโลกอย่างแท้จริง
ข้อมูลเพิ่มเติม: ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดรายงานฉบับเต็ม ‘The Rule of Law in Thailand: Key Findings from the General Population Poll 2025’ ได้ที่เว็บไซต์ของสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ)


