แม้ไปรษณีย์ไทยจะอยู่ในตลาดมากว่า 140 ปี ซึ่งบ่งบอกว่าประสบความสำเร็จในตลาด แต่สงครามราคาคือสิ่งที่ ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ถึงกับบอกว่าเป็นชาเลนจ์ใหญ่เลยทีเดียว
กระนั้นแม่ทัพของไปรษณีย์ไทยก็ย้ำว่าจะไม่ลงไปเล่นเรื่องราคา แต่ก็ไม่สามารถนิ่งนอนใจได้ เพราะตลาดขนส่งยังมีโอกาสเติบโต นั่นแปลว่าจะมีโอกาสที่ผู้เล่นรายใหม่ๆ จะกระโดดเข้ามาได้ โดยเฉพาะต่างชาติ เพราะปัจจุบันในไทยยังไม่มีกฎหมายออกมารองรับ
“ตลอดระยะเวลาที่ทำงานมากว่า 2 ปี ทำให้รู้ว่าเราจะช้าไม่ได้ เพราะบริบทต่างๆ เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ทั้งพฤติกรรมลูกค้าหรือแม้แต่ดิจิทัลที่เข้ามาดิสรัปต์ ดังนั้นต้องพยายามรักษาคุณภาพที่เป็นจุดแข็งการให้บริการ ควบคู่กับการรักษาความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับลูกค้า พร้อมนำดิจิทัลเข้ามาช่วยสนับสนุนการบริการเพื่อให้สะดวกและส่งเร็ว โดยปัจจุบันได้ขยายการบริการเพิ่ม 3 หมื่นจุดทั่วประเทศ” กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด กล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
ที่ผ่านมาไปรษณีย์ไทยเติบโตมากจาก Physical จากนี้ต้องผสมผสานระหว่าง Physical และ Network เข้าด้วยกัน นอกจากจะทำให้มีฐานข้อมูลอยู่ใน CRM แล้วยังทำให้เข้าใจพฤติกรรมลูกค้าและพื้นที่ต่างๆ ซึ่งในอนาคตจะสามารถนำไปต่อยอดกับธุรกิจอื่นๆ ได้อย่างมหาศาล
สำหรับทิศทางจากนี้ ไปรษณีย์ไทยที่อยู่มากว่า 140 ปี มีการปรับลุคตัวเองให้ดูทันสมัย เปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรภายในให้เข้าถึงคนรุ่นใหม่ พร้อมนำฐานข้อมูลใน CRM มาทำการตลาดผ่านคอนเทนต์
ถึงกระนั้นในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ไปรษณีย์ไทยยังได้จัดโครงสร้างองค์กรให้มีความคล่องตัวมากขึ้น แม้ภารกิจหลักจะเป็นเรื่องการให้บริการส่งของ แต่ตอนนี้สโคปการให้บริการเริ่มกว้างขึ้นด้วยนโยบายของบอร์ดที่ต้องการรักษาภารกิจหลักและพัฒนาองค์กรเพื่อรองรับการแข่งขันในรูปแบบอื่นๆ ในอนาคต ทั้งหมดนี้จะทำให้ไปรษณีย์ไทยเดินทางไปสู่เป้าหมายความเป็น Beyond Logistics Company
ขณะที่ผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2566 มีรายได้ 10,833.31 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา 12.67% ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 157.72 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่มาจากการส่งด่วนที่มีการเติบโต 29%
เรียกว่าเริ่มกลับมาทำกำไรได้บ้างแล้ว เพราะในปี 2564-2565 บริษัทยังอยู่ในช่วงขาดทุนกว่า 3,000 ล้านบาท เนื่องจากโครงสร้างต้นทุนของธุรกิจขนส่งระดับแมสไม่ยืดหยุ่น เมื่อตลาดมีการแข่งขันสูง จำนวนการส่งต่อชิ้นอาจเท่าเดิม แต่ราคาที่ได้ต่อชิ้นงานลดลง เพราะผู้เล่นในตลาดต่างเล่นสงครามราคาแย่งส่วนแบ่งกัน
แน่นอนว่าการกลับมาทำกำไรคือสิ่งที่พยายามพิสูจน์ว่าเมื่อไปรษณีย์ไทยไม่แข่งสงครามราคา แต่หันมาโฟกัสประสบการณ์การให้บริการที่ดีก็สามารถแข่งขันได้ ประกอบกับในช่วงนั้นได้ปรับโครงสร้างลดต้นทุนค่าใช้จ่าย เริ่มจากการลดบุคลากรจาก 42,000 คน เหลือ 38,000 คน และต้นทุนต่างๆ ทำให้ต้นทุนโดยรวมลดลง 25%
ดร.ดนันท์กล่าวต่อไปว่า สิ่งที่ยังกังวลนอกจากเรื่องต้นทุนพลังงานแล้ว ยังกังวลนโยบายขึ้นค่าแรง 600 บาทของรัฐบาลใหม่ แม้อาจจะไม่ได้ปรับขึ้นเลยทีเดียว แต่ธุรกิจได้รับผลกระทบอย่างมาก ซึ่งก็ต้องเตรียมตั้งรับและรอดูทิศทางของนโยบายดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส 3-4 ภาพรวมตลาดขนส่งอาจไม่ได้เติบโตขึ้นมากนัก เพราะคนอาจส่งของลดลง เนื่องจากเป็นช่วงฤดูแห่งการออกเดินทางท่องเที่ยว ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่ยังไม่ฟื้นตัวมากนัก แต่โดยรวมแล้วคาดว่าภายในสิ้นปีนี้ไปรษณีย์ไทยจะมีรายได้ประมาณ 22,200 ล้านบาท