เอกชนลุ้นสหรัฐฯ เคาะภาษีไทยที่ 19 – 20% หวังเท่ากับหรือใกล้เคียงกับประเทศคู่แข่งสำคัญในภูมิภาค เช่น เวียดนาม 20%, อินโดนีเซีย ที่ได้อัตรา 19%, ฟิลิปปินส์ 19% มาเลเซีย 25% อินเดีย 25% และล่าสุดเกาหลีใต้ 15%
โดยพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ย้ำว่า การเจรจาของไทยกับสหรัฐฯ อยู่ในระดับ 99.99%
ขณะที่ โฮเวิร์ด ลุตนิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สหรัฐอเมริกา ยืนยันว่า กำหนดบังคับใช้ภาษีศุลกากรต่อประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ ตามนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะไม่มีการเลื่อนออกไปจากวันที่ 1 สิงหาคม 2568 ซึ่งล่าสุด สหรัฐฯ ‘ทำข้อตกลงการค้า’ กับไทยและกัมพูชาแล้ว เพื่อให้ทั้งสองประเทศนำไปสู่การหยุดยิง
เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวกับ THE STANDARD WEALTH ถึงความกังวล แนวโน้มการเจรจาภาษีการค้าแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ของสหรัฐฯ ซึ่งกำลังจะครบกำหนดวันที่ 1 สิงหาคมนี้ ว่า สถานการณ์ของประเทศไทยมีความพิเศษและแตกต่างจากประเทศอื่นๆ เนื่องจากบทบาทสำคัญของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในการเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยสถานการณ์ปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา
ลุ้น 2 แนวโน้มเป็นบวกหลังเจรจาภาษีสหรัฐฯ
เกรียงไกร กล่าวต่อว่า รองนายกรัฐมนตรี ได้แจ้งว่าสหรัฐฯ ได้เห็นถึงความตั้งใจของไทยในการปฏิบัติตามข้อตกลง ซึ่งจะส่งผลดีต่อการเจรจาภาษีที่กำลังจะมาถึง ดังนั้นประเมินว่ามีความเป็นไปได้ 2 กรณี ดังนี้
1. ประกาศผลก่อน 1 สิงหาคมนี้ เหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่วันก่อนกำหนดเส้นตาย หากการเจรจาเป็นไปได้ด้วยดี สหรัฐฯ อาจจะประกาศผลก่อนวันที่ 1 สิงหาคม
2. เลื่อนกำหนดเวลาสำหรับไทยโดยเฉพาะ เนื่องจากกรณีของไทยเป็นกรณีพิเศษที่ประธานาธิบดีทรัมป์เข้ามาเป็น คนกลางไกล่เกลี่ยเอง และรับทราบว่าไทยปฏิบัติตามเงื่อนไขอย่างเคร่งครัด สหรัฐฯ อาจพิจารณาเลื่อนกำหนดเวลาสำหรับประเทศไทยออกไป เพื่อให้มีเวลาในการเจรจามากขึ้น
ทั้งนี้ ส.อ.ท. ยังคงคาดหวังว่าผลการเจรจาจะออกมาดี โดยคาดว่าอัตราภาษีของไทยจะอยู่ที่ประมาณ 19 – 20% ซึ่งจะเท่ากับหรือใกล้เคียงกับประเทศคู่แข่งสำคัญในภูมิภาค เช่น เวียดนาม ที่ได้อัตรา 20%, อินโดนีเซีย ที่ได้อัตรา 19%, ฟิลิปปินส์ 19% และมาเลเซีย ที่ได้อัตรา 25%
เกรียงไกร ระบุต่อว่า ยังมีความหวังว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะพิจารณาให้ ‘รางวัลพิเศษ’ ให้กับประเทศไทย ด้วยการลดอัตราภาษีให้ต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านอีก เนื่องจากไทยได้แสดงให้เห็นถึงความเป็นประเทศที่น่าเชื่อถือและรักษาสัญญาอย่างเคร่งครัด
ทั้งนี้ ส.อ.ท. ยังคงคาดหวังว่า ไทยจะไม่ถูกเรียกเก็บภาษีในอัตราที่สูงถึง 36% อย่างแน่นอน และเชื่อว่าการที่ไทยแสดงความน่าเชื่อถือนี้จะช่วยเพิ่มแต้มต่อในการเจรจาได้อย่างมาก ตรงกันข้ามกับกัมพูชาที่ยังไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง ซึ่งสหรัฐฯ อาจจะพิจารณาในอีกมุมมองหนึ่ง
“ตอนนี้เชื่อว่าไทยจะได้ภาษีต่ำกว่า 36% หากเป็นเช่นนั้นมูลค่าเสียหายจากการขึ้นภาษีดังกล่าว ราว 8 – 9 แสนล้านบาท ที่เคยประเมินไว้จะไม่เกิดขึ้นกับประเทศไทย ซึ่งหากภาษีที่ไทยได้เหลือ 19 – 20% เชื่อว่าเราจะไม่เสียหายเท่าไร เพราะถือว่าใกล้เคียงกับประเทศคู่แข่งในภูมิภาค” เกรียงไกรกล่าว
ปัจจุบัน ปัจจัยที่ ส.อ.ท. และภาคเอกชนกำลังจับตาดูอย่างใกล้ชิด คือ ตัวเลขภาษีที่สหรัฐฯ จะประกาศออกมา หากผลการเจรจาเป็นบวกและไทยได้รับอัตราภาษีที่ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ เช่น หากลดลงมาถึง 15% เมื่อเทียบกับสิงคโปร์ที่ไม่ใช่ประเทศผู้ผลิตสินค้าหลัก ก็จะเป็นผลดีอย่างมากต่อภาคการส่งออกของไทย
“แต่ในทางตรงกันข้าม หากอัตราภาษีของไทยยังคงสูงถึง 36% และไม่ได้รับการลดหย่อน รัฐบาลจะต้องมีมาตรการเร่งด่วนในการกระตุ้นเศรษฐกิจ และจัดหาแพ็กเกจช่วยเหลือผู้ส่งออกที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก โดยใช้เงินสนับสนุนตามความเหมาะสม”
สรท. หวังสหรัฐฯ เคาะใกล้เคียงกับคู่แข่งที่ 19-20%
ธนากร เกษตรสุวรรณ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยกับ THE STANDARD WEALTH ว่า ยอมรับว่า “กังวล” ต่อการเจรจา Reciprocal Tariff ระหว่างไทยและสหรัฐฯ
โดยระบุว่าผู้ประกอบการประเมินโอกาสของการเจรจาครั้งนี้ไว้ที่ 50% เท่ากัน ซึ่งอาจส่งผลให้ไทยได้รับอัตราภาษีที่ดีขึ้นใกล้เคียงกับคู่แข่งทางการค้าที่ 19-20% หรือในกรณีที่เลวร้ายที่สุด อาจโดนอัตราภาษีสูงถึง 36%
ธนากร ย้ำว่า สรท. ได้เตรียมการรับมือผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นแล้ว และได้เสนอความคิดเห็นไปยังทีมเจรจาของไทยว่า เนื่องจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ มีความตั้งใจที่จะไม่เจรจากับไทยและกัมพูชา จนกว่าข้อขัดแย้งชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชาจะยุติลง
สรท. จึงเสนอให้รัฐบาลไทยใช้โอกาสนี้ในการขอให้สหรัฐฯ ยกเว้นไทยและกัมพูชาออกจากการบังคับใช้ Executive Order ที่จะมีผลในวันที่ 1 สิงหาคมนี้ และขอให้คงอัตราภาษีมาตรฐานที่ 10% ไปก่อน
“ถ้าสหรัฐฯ ไม่สามารถประกาศหรือตกลงเรื่องภาษีใหม่กับไทยได้ และทรัมป์มีความตั้งใจที่จะให้เรื่องข้อขัดแย้งชายแดนจบลงก่อน ก็ไม่ควรยืดเยื้อการเจรจาภาษีออกไป ดังนั้น เราจึงให้ความคิดเห็นไปว่า ลองนำเสนอไปสหรัฐฯ ได้ไหม เพราะเป็นความตั้งใจของทรัมป์ที่จะมาสนใจตรงเรื่องความขัดแย้งชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา” ธนากร กล่าว
ข้อเสนอแนะดังกล่าวได้ถูกนำเสนอไปเมื่อทรัมป์ได้แสดงความคิดเห็นผ่านโซเชียลมีเดียของเขา โดย สรท. มองว่าเป็นโอกาสดีที่จะดึงเรื่องภาษีของไทยและกัมพูชาออกไปก่อน
สำหรับผลกระทบหากเกิดกรณีเลวร้ายที่สุดที่ไทยต้องเสียภาษี 36% จากการค้ากับสหรัฐฯ คิดจากมูลค่าการค้ารวม 2 ล้านล้านบาทต่อปี จะเฉลี่ยเป็นผลกระทบประมาณ 5,479 ล้านบาทต่อวัน
อย่างไรก็ตาม ธนากร ชี้แจงว่าไม่ใช่สินค้าทุกรายการที่จะได้รับผลกระทบ เนื่องจากสหรัฐฯ มีข้อตกลงยกเว้นภาษีสำหรับสินค้าเฉพาะอย่างกับหลายประเทศอยู่แล้ว เช่น ยางพารา ยางรถยนต์ หรือชิ้นส่วนยานยนต์ ซึ่งสินค้าเหล่านี้อาจไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง
หอการค้า ย้ำสหรัฐฯ หุ้นส่วนเศรษฐกิจสำคัญ
ด้าน ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า “แม้สถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาจะเพิ่งคลี่คลาย และนำไปสู่ข้อตกลงหยุดยิงแต่ภาคเอกชนขอเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเร่งรัดเจรจาทางเศรษฐกิจในทุกกรอบ โดยเฉพาะประเด็นภาษีกับสหรัฐฯ ที่มีเส้นตายวันที่ 1 สิงหาคม อยู่เบื้องหน้า”
ภาพ: Chip Somodevilla / Getty Images
อ้างอิง: