ประเทศไทยสร้างผลงานโดดเด่นในเวทีโลกอีกครั้ง โดยได้รับการจัดอันดับเป็นจุดหมายปลายทางการจัดประชุมนานาชาติอันดับ 1 ของอาเซียน และอันดับ 5 ของเอเชีย-แปซิฟิก จากรายงานล่าสุดของสมาคมการจัดประชุมนานาชาติ (ICCA) ประจำปี 2567 โดยกรุงเทพมหานครสร้างสถิติใหม่ทะยานขึ้นสู่อันดับ 7 ของโลก จากเดิมอันดับ 15 ในปี 2566 และนับเป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยมีเมืองติดอันดับในรายงานของ ICCA มากถึง 13 เมือง
รายงาน ‘GlobeWatch Business Analytics – Country & City Rankings’ ซึ่งเปิดเผยในงาน IMEX Frankfurt 2025 ณ ประเทศเยอรมนี วิเคราะห์ข้อมูลการประชุมกว่า 11,000 รายการทั่วโลกในปี 2567 พบว่าภูมิภาคเอเชียเป็นที่นิยมอันดับ 2 รองจากยุโรป
สำหรับผลงานประเทศไทยและกรุงเทพฯ มีดังนี้
ประเทศไทย: เป็นเจ้าภาพจัดประชุมนานาชาติรวม 158 งาน (เพิ่มจาก 143 งานในปี 2566) ขยับขึ้นเป็นอันดับที่ 25 ของโลก (จากอันดับ 26) ครองอันดับ 5 ในเอเชีย-แปซิฟิก และอันดับ 1 ในอาเซียน กรุงเทพมหานคร: เป็นเจ้าภาพ 115 งาน ก้าวกระโดดสู่อันดับ 7 ของโลก (จากอันดับ 15) อันดับ 3 ในเอเชีย-แปซิฟิก และอันดับ 2 ในอาเซียน นอกจากนี้ Cvent ยังจัดอันดับให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองอันดับ 2 ในเอเชีย-แปซิฟิกสำหรับการจัดประชุม (รองจากสิงคโปร์) โดยอิงจากกิจกรรมการจัดหาสถานที่จัดงานมูลค่ากว่า 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐผ่านแพลตฟอร์ม Cvent Supplier Network ในปี 2567
ทั้งนี้ มี 13 เมืองของไทยติดอันดับ ICCA ซึ่งได้แก่ กรุงเทพฯ (115 งาน), เชียงใหม่ (12 งาน), พัทยา (10 งาน), ภูเก็ต (8 งาน), ชลบุรี (3 งาน), เชียงราย (2 งาน), ปทุมธานี (2 งาน), หัวหิน (1 งาน), ขอนแก่น (1 งาน), สมุย (1 งาน), นครราชสีมา (1 งาน), นนทบุรี (1 งาน) และปัตตานี (1 งาน)
การจัดอันดับนี้อิงจากกิจกรรมของผู้วางแผนและผู้จัดงานในการจัดหาและการขอข้อเสนอ (RFP) สำหรับการจัดงานจากเมืองต่างๆ ทั่วโลกที่มีมูลค่ารวมมากกว่า 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ เป็นกิจกรรมที่ดำเนินการผ่านแพลตฟอร์มการจัดหาสถานที่จัดงานจากทั่วโลกของ Cvent ในปี 2567 โดยเฉพาะในการดำเนินการผ่าน Cvent Supplier Network มีมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 1.65 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเครือข่ายที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกสำหรับจัดหาสถานที่จัดงานจากทุกมุมโลก
ภูริพันธ์ บุนนาค รองผู้อำนวยการ และรักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ กล่าวว่า ทีเส็บภาคภูมิใจที่ 13 เมืองไทยติดอันดับ สะท้อนความหลากหลายและศักยภาพที่เพิ่มขึ้นของประเทศในการรองรับการประชุมระดับนานาชาติ ซึ่งเป็นผลจากการผลักดันของสำนักงานทีเส็บในแต่ละภูมิภาค และเชื่อว่าผลการจัดอันดับนี้จะเป็นแรงผลักดันให้เมืองต่างๆ พัฒนาศักยภาพต่อไป
“เมืองทั้ง 13 แห่ง ได้รับการจัดอันดับในตารางสถิติของ ICCA สะท้อนถึงความหลากหลายของเมืองในประเทศไทยที่มีขีดความสามารถรองรับการจัดประชุมนานาชาติในระดับสูงสุดเท่าที่เคยมีมา เป็นสัญญาณที่ชัดเจนถึงขีดความสามารถที่เพิ่มขึ้นของประเทศไทยในการจัดการประชุมของสมาคมนานาชาติและองค์กรระหว่างประเทศ ประเทศไทยจึงมีทางเลือกสำหรับสถานที่จัดงานที่หลากหลายมากขึ้น แต่ละเมืองมีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมเฉพาะตัว สามารถสร้างประสบการณ์ที่มีความหมายและน่าจดจำสำหรับผู้เข้าร่วมประชุมได้ อีกทั้งการจัดตั้งสำนักงานในแต่ละภูมิภาคของทีเส็บมีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้เมืองต่างๆ ในแต่ละภูมิภาคของไทยเจาะตลาดไมซ์ สร้างแรงกระตุ้นให้เมืองเหล่านี้มีตำแหน่งในแผนที่ไมซ์ระดับโลก เพราะเชื่อว่าผลการจัดอันดับของ ICCA จะเป็นปัจจัยสำคัญในการผลักดันให้แต่ละเมืองในประเทศไทยยกระดับผลงานเพื่อไต่อันดับต่อไป” ภูริพันธ์กล่าว