×

เศรษฐกิจไทยพร้อมขึ้น VAT หรือยัง? เปิดข้อเสนอถึงรัฐบาล หลังนักวิชาการห่วง ‘มนุษย์เงินเดือนจ่ายภาษี’ ถูกกระทบซ้ำสอง KResearch คาดฉุดการบริโภคลงเกือบ 0.1%

21.11.2025
  • LOADING...
เศรษฐกิจไทยพร้อมขึ้น VAT หรือยัง? เปิดข้อเสนอถึงรัฐบาล หลังนักวิชาการห่วง ‘มนุษย์เงินเดือนจ่ายภาษี’ ถูกกระทบซ้ำสอง KResearch คาดฉุดการบริโภคลงเกือบ 0.1%

HIGHLIGHTS

  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทย (KResearch) คาดว่า การเพิ่ม VAT ในอัตรา 1.5% ในปี 2571 จะช่วยเพิ่มรายได้รัฐบาลได้ประมาณ 0.7% ของ GDP แต่จะฉุดการบริโภคลงเกือบ 0.1%
  • รศ. ดร. อธิภัทร กล่าวว่า การขึ้น VAT กลุ่มคนที่กระทบที่สุดคือ ‘คนทั้งประเทศ’ โดยเฉพาะมนุษย์เงินเดือน จะเป็นกลุ่มที่ถูกกระทบซ้ำสอง เนื่องจากมนุษย์เงินเดือน แบกภาษี 80% ของภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอยู่แล้ว
  • ดังนั้น รศ. ดร. อธิภัทรจึงแนะว่า เพื่อเพิ่มศักยภาพทางการคลัง รัฐบาลควรจะปฏิรูปภาษีทั้งระบบ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมมากขึ้น ไม่ใช่มองแค่การขึ้น VAT เพียงอย่างเดียว
  • นอกจากนี้ ยังควรค่อยๆ ปรับขึ้น VAT พร้อมรอจนกว่าการบริโภคจะกลับมา แต่จะต้องเตรียมแผนสื่อสารให้ประชาชนและธุรกิจเตรียมพร้อมอย่างชัดเจน
  • KResearch แนะว่า รัฐบาลควรกันงบประมาณสำรองเอาไว้บางส่วน สำหรับมาตรการบรรเทาผลกระทบกลุ่มเปราะบางที่จะได้รับผลกระทบจากการขึ้น VAT
  • พร้อมถอดบทเรียนจาก ‘สิงคโปร์’ และ ‘ญี่ปุ่น’ ทำอย่างไรถึงขึ้น VAT ได้สำเร็จ

ดร. เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพิ่งยอมรับว่า มีแผนปรับขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 1.5% (จากอัตรา 7% ในปัจจุบัน เป็นจัดเก็บที่อัตรา 8.5%) และอีก 1.5% (เป็นจัดเก็บที่อัตรา 10.0%) ในปีงบประมาณ 2571 และ 2573 ตามลำดับ บนเงื่อนไขที่ว่า เศรษฐกิจฟื้นตัวเต็มศักยภาพ

 

โดยแผนการปรับขึ้น VAT นี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการคลังระยะปานกลาง (Medium Term Fiscal Framework: MTFF) ฉบับใหม่ สำหรับปีงบประมาณ 2570-2573 ที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เพิ่งมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายนที่ผ่านมา

 

โดยความพยายามดังกล่าวเป็นการเน้นย้ำต่อประชาชน นักลงทุน และสถาบันอันดับจัดอันดับความน่าเชื่อถือต่างๆ ให้เห็นว่า รัฐบาลไทยยึดมั่นในหลักวินัยการเงินการคลัง และมีความมุ่งมั่นในการปรับสมดุลทางการคลัง (Fiscal Consolidation)

 

ทำไมรัฐบาลจะขึ้น VAT ฐานะทางการคลังไทยเปราะบางแค่ไหน

 

รศ. ดร. อธิภัทร มุทิตาเจริญ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวในรายการ MORNING WEALTH โดยมองว่า สาเหตุหลักที่รัฐบาลวางแผนปรับขึ้น VAT เนื่องมาจาก ‘ภาคการคลังไทยถึงขีดสุดแล้ว’ ท่ามกลางภาวะที่รายจ่ายลดลงต่อเนื่อง และรายจ่ายกำลังเพิ่มขึ้น จนทำให้รัฐบาลไทย ‘ขาดดุลทางการคลัง’ หนักขึ้น

 

รศ. ดร. อธิภัทร กล่าวต่อว่า ปัจจุบัน ไทยขาดดุลทางการคลังที่ 4-5% ต่อ GDP ‘แทบจะเป็นเรื่องปกติ’ ตัวอย่างเช่น ในปีงบประมาณ 2569 ก็คาดว่า ไทยจะขาดดุลทางการคลังอยู่ที่ 4.4% ของ GDP ทำให้นักลงทุนและบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating Agencies) เริ่มมีความกังวลต่อวินัยทางการคลังของรัฐบาล

 

“มีการส่งสัญญาณเตือนจาก Fitch และ Moody’s ที่ได้ปรับลดมุมมองความน่าเชื่อถือ (Outlook) ของไทยลงแล้ว ขณะที่ S&P ยังคงไว้ที่ระดับ ‘มีเสถียรภาพ’ (stable) ภายใต้เงื่อนไขว่า รัฐบาลจะปรับสมดุลทางการคลัง (Fiscal Consolidation) ตามที่คาดไว้” รศ. ดร. อธิภัทรกล่าว

 

นอกจากนี้ รายได้ของรัฐบาลไทยยังลดลงต่อเนื่อง จากก่อนหน้านี้ ที่เคยอยู่ที่ระดับ 17% ต่อ GDP แต่ปัจจุบันรายได้รัฐบาลไทยเหลือเพียง 14% ต่อ GDP เท่านั้น ขณะที่รายจ่ายกำลังจะเพิ่มไปถึง 19% ต่อ GDP หากไม่มีการดำเนินการใดๆ

 

ดังนั้น รศ. ดร. อธิภัทร จึงมองว่า เมื่อไหร่ที่รัฐต้องการรายได้ VAT จะกลายเป็นการหารายได้ที่รัฐมองเป็นอันดับแรก เนื่องจากกฎหมายไทยกำหนด VAT อยู่ที่ระดับ 10% อยู่แล้ว

 

โดย รศ. ดร. อธิภัทร กล่าวว่า ทุก 1% ของการปรับขึ้น VAT จะสร้างรายได้ประมาณ 70,000-80,000 ล้านบาท แต่หากมีการหักมาตรการเยียวยากลุ่มเปราะบางหรือกลุ่มรายได้น้อย รายได้สุทธิจะเหลือประมาณ 0.4% ต่อ GDP “ดังนั้น ในแง่เม็ดเงินถือว่า มีนัยสำคัญมาก”

 

ขึ้น VAT กระทบใครมากที่สุด

 

รศ. ดร. อธิภัทร กล่าวต่อว่า การขึ้น VAT กลุ่มคนที่กระทบที่สุดคือ ‘คนทั้งประเทศ’ โดยเฉพาะมนุษย์เงินเดือน จะเป็นกลุ่มที่ถูกกระทบซ้ำสอง เนื่องจากมนุษย์เงินเดือน แบกภาษี 80% ของภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอยู่แล้ว

 

KResearch คาดขึ้น VAT ครั้งละ 1.5% เพิ่มรายได้รัฐ 0.7% ของ GDP ฉุดการบริโภคเฉียด 0.1%

 

ขณะที่ ณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด (KResearch) เปิดเผยกับ THE STANDARD WEALTH ว่า จากการคำนวณคร่าวๆ พบว่า การเพิ่ม VAT ในอัตรา 1.5% ในปี 2571 จะช่วยเพิ่มรายได้รัฐบาลได้ประมาณ 0 7% ของ GDP แต่ละฉุดการบริโภคลงเกือบ 0.1% บนสมมุติฐานที่ว่า การบริโภคครัวเรือนราว 60% เสียภาษี VAT

 

โดยณัฐพรอธิบายเพิ่มเติมว่า การปรับขึ้น VAT ครั้งละ 1.5% จะมีผลกระทบต่อการบริโภคอยู่แล้ว เนื่องจาก VAT ขึ้นแปลว่า ผู้บริโภคจะต้องจ่ายราคาสินค้าสูงขึ้นอยู่แล้ว เช่น จาก 7% เป็น 8.5% นอกจากนี้ จะสังเกตได้ว่า ในปัจจุบัน ร้านอาหารต่างๆ ที่โดน VAT จะปรับราคาสูงขึ้น โดยการส่งต่อภาระภาษี VAT นี้ก็คาดว่า จะส่งผลกระทบทำให้การบริโภคลดลง

 

“อย่าลืมว่า พอรายได้ภาครัฐเพิ่มขึ้น การบริโภค (consumption) อาจจะชะลอลง เห็นได้จากตัวอย่างในหลายๆ ประเทศ เช่น ญี่ปุ่นที่เคยปรับขึ้นภาษี VAT การบริโภคก็หดตัว ประมาณ 1-2 ไตรมาส”

 

ณัฐพร ยังกล่าวต่อว่า “ถ้าเข้าไปดูในตะกร้าสินค้า สมมุติว่า 60% ของตะกร้าสินค้ามี VAT คำนวณออกมาจะทำให้การบริโภคลดลงเกือบๆ 0.1% ของ GDP”

 

ถอดบทเรียนจาก ประเทศที่ขึ้น VAT สำเร็จ

 

รศ. ดร. อธิภัทร ได้ยกตัวอย่าง ประเทศอื่นๆ ที่ขึ้น VAT สำเร็จ ตัวอย่างเช่น สิงคโปร์ที่มีมาตรการรองรับผลกระทบ ญี่ปุ่นที่มีการระบุอย่างชัดเจนว่า จะนำเงินที่ขึ้นภาษีไปทำอะไร รวมถึงมีการสื่อสารต่อสาธารณชนและเอกชนอย่างชัดเจน

 

โดยสิงคโปร์ที่ขึ้นภาษีสินค้าและบริการ (GST) จาก 7% เป็น 9% ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ได้มีการประกาศล่วงหน้า และสร้าง Road Map ให้สาธารณชนเห็นชัดเจนว่า จะขึ้นเมื่อไหร่ รวมทั้งมีแผนที่จะชดเชยและรองรับผลกระทบกับกลุ่มต่างๆ โดยรัฐบาลสิงคโปร์ได้ให้เงินช่วยเหลือกับคนทั้งประเทศ โดยวางแผนการให้เงินช่วยเหลือในระยะ 5 ปี โดยค่อยๆ ลดลง (phase out)

 

ส่วนในญี่ปุ่น ประสบความสำเร็จจากการขึ้น VAT จาก 5% เป็น 8% และ 10% โดยใช้เวลาเกือบ 10 ปี มีโมเดลที่น่าสนใจคือ ญี่ปุ่นมีการระบุชัดเจนว่า เงินที่ขึ้น VAT จะเอาไปทำอะไรบ้าง ผ่านการทำบัญชีแยกชัดเจน เช่น เอาเงินไปดูแลกลุ่มสูงวัย และกลุ่มเปราะบางอย่างไรบ้าง

 

เปิดข้อแนะนำ รัฐบาลควรขึ้น VAT อย่างไร

 

ท่ามกลางเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวจากโควิดค่อนข้างช้า ทำให้รายได้และการบริโภคยังโตได้ไม่เต็มศักยภาพ ท่ามกลางภาวะที่ตัวชี้วัดทางการคลังต่างๆ แย่ลงอย่างต่อเนื่อง THE STANDARD WEALTH ได้รวบรวมข้อแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญถึงรัฐบาลที่ต้องการเพิ่มศักยภาพทางการคลังผ่านการขึ้น VAT ดังนี้

 

  • ควรขึ้น VAT เมื่อการบริโภคฟื้นตัว

 

รศ. ดร. อธิภัทร กล่าวว่า การขึ้น VAT วันนี้เลย ผมคิดว่า ไม่ควรทำแน่นอน ยิ่งในสถานการณ์ปัจจุบันที่การบริโภคภาคเอกชนไม่ได้โตสักเท่าไหร่ แต่เมื่อการบริโภคฟื้นตัวกลับมา และรัฐบาลก็วางแผนล่วงหน้าว่า จะขึ้นเมื่อไหร่ให้ชัดเจน เพื่อทำให้การขึ้น VAT มีประสิทธิภาพ และสามารถรองรับผลกระทบได้ดี

 

  • ควรค่อยๆ ทยอยขึ้น VAT

 

รศ. ดร. อธิภัทร ยังมองว่า การขึ้น VAT ในอัตรา 1.5% (จากระดับ 7% ไปอยู่ที่ 8.5%) ในปี 2571 เลยอาจจะ ‘สูงเกินไป’ พร้อมทั้งมองว่า รัฐบาลไม่จำเป็นต้องขึ้น VAT 1.5% ในทีเดียว โดยอาจจะขึ้นทีละ 0.5% ก็สามารถทำได้

 

  • ควรสื่อสารแผนการขึ้น VAT อย่างชัดเจน

 

รศ. ดร. อธิภัทร แนะต่อว่า รัฐบาลควรสื่อสารแผนการขึ้น VAT อย่างชัดเจน
(Announcement Plan) โดยยิ่งประกาศเร็วเท่าไหร่ สาธารณชนและเอกชนก็จะยิ่งวางแผนได้ดีขึ้น สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Rating Agencies) ก็จะสบายใจได้มากขึ้น

 

แนะรัฐบาลทำ ‘บัญชีแยกชัดเจน’ ระบุใช้เงิน VAT เพื่ออะไร หนทางสู่การยอมรับ

 

รศ. ดร. อธิภัทร กล่าวต่อว่า แม้ไทยอาจไม่ต้องทำถึงขั้นระบุเจาะจง (Earmark) ว่าจะนำเอาเงินที่ขึ้น VAT นี้ไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์อะไร เนื่องจากกฎหมายการคลังห้ามไว้ แต่การทำบัญชีแยกชัดเจนก็อาจทำให้คนไทยยอมรับการขึ้น VAT ได้มากขึ้น

 

  • ควรปฏิรูปโครงสร้างภาษีทั้งองค์รวม ไม่ใช่แค่ขึ้น VAT

 

รศ. ดร. อธิภัทร กล่าวว่า VAT ไม่ควรเป็นสิ่งเดียวที่รัฐทำ เพื่อเพิ่มศักยภาพการคลัง โดยถ้ารัฐบาลขึ้น VAT โดยไม่แตะโครงสร้างภาษีอื่นเลย กลุ่มที่เดือดร้อนที่สุดคือ มนุษย์เงินเดือน ที่เป็นของจ่ายภาษี 80% ของภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอยู่แล้ว ดังนั้น จึงอยากเห็นการเก็บภาษีที่ทั่วถึงมากขึ้น และเป็นธรรมมากขึ้น เพื่อทำให้คนไทยเต็มใจเป็นส่วนหนึ่งของระบบภาษีมากขึ้น

 

รศ. ดร. อธิภัทร อธิบายต่อว่า ถ้ารัฐบาลต้องการขึ้น VAT แล้วให้สังคมยอมรับได้ก็ควรจะต้องมองโครงสร้างภาษีทั้งระบบ ไม่ว่าจะเป็น การขยายฐานให้กว้างขึ้นครอบคลุมไปถึงกลุ่มอื่นๆ ที่ยังไม่ได้เสียภาษี ไปจนถึงการปรับเกณฑ์การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สำหรับบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลที่ขายสินค้าหรือให้บริการในราชอาณาจักร ที่มีรายรับเกิน 1 8 ล้านบาทต่อปี โดยทำให้เกณฑ์ดังกล่าวปฏิบัติตามได้มากขึ้น มีความเป็นธรรมมากขึ้น และลดค่าใช้จ่ายที่องค์กรหรือธุรกิจต้องจ่ายเพื่อปฏิบัติตามกฎหมาย (Compliance Cost) ลง

 

  • อย่าลืมกันงบไว้บรรเทาผลกระทบ พร้อมเตรียมแผนสำรองหากขึ้น VAT ไม่ได้

 

ณัฐพร ยังแนะว่า ถ้ารัฐบาลจะปรับขึ้น VAT อาจจะต้องกันงบประมาณสำรองเอาไว้บางส่วน สำหรับมาตรการบรรเทาผลกระทบ โดยการระบุกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับผลกระทบให้ชัดเจน เช่น ผู้ซื้อ หรือผู้มีรายได้น้อย ซึ่งอาจจะดำเนินการได้ผ่านมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น หรือมาตรการลดค่าครองชีพในรูปแบบต่างๆ ได้

 

“ทั้งนี้ VAT จะขึ้นได้จริงหรือไม่ ต้องพิจารณาอีก 2 ปี ซึ่งเงื่อนไขทางเศรษฐกิจ ณ ตอนนั้น อาจจะเอื้อ หรืออาจจะไม่เอื้อก็คงต้องไปว่ากันอีกที ซึ่งวันนี้ทางกระทรวงการคลังก็พูดเองว่า ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของเศรษฐกิจด้วย ถ้าเงื่อนไขไม่เอื้ออำนวยก็อาจจะต้องไปใช้เครื่องมืออื่น” ณัฐพรกล่าว

 

ภาพ: icon0.com/Shutterstock

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising