วันนี้ (29 เมษายน) ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อตรวจความพร้อมการดำเนินการตามนโยบายเปิดประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2565 ตามที่คณะกรรมการบริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ผ่อนปรนปรับมาตรการการเดินทางเข้าราชอาณาจักร
ศักดิ์สยามกล่าวว่า การลงพื้นที่ในครั้งนี้เพื่อตรวจความพร้อมการดำเนินการของท่าอากาศยานในการรองรับผู้โดยสารตามที่ ศบค. เห็นชอบปรับมาตรการการเดินทางเข้าราชอาณาจักร ยกเลิกมาตรการ Test & Go ให้มีผลบังคับใช้วันที่ 1 พฤษภาคม 2565 โดยกำหนดให้ผู้โดยสารที่เข้าประเทศต้องได้รับวัคซีนตามที่กำหนด และทำ Self ATK ก่อนการเดินทางอย่างน้อย 72 ชั่วโมง ซึ่งคาดว่าจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศจะเพิ่มมากขึ้น ซึ่งวันนี้ได้ตรวจความพร้อมการดำเนินงาน ณ ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ จุดตรวจหนังสือเดินทาง และจุดตรวจศุลกากร สำหรับมาตรการใหม่ในการเข้าประเทศซึ่งสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยได้ออกประกาศมาตรการมีดังนี้
- ผู้โดยสารที่ได้รับวัคซีนครบถ้วนแล้วสามารถเข้าประเทศได้โดยไม่ต้องมีการตรวจใดๆ เพิ่มเติม แต่อย่างไรแนะนำให้ผู้โดยสารตรวจ ATK หากมีอาการ
- ผู้โดยสารที่ยังไม่ได้รับวัคซีนหรือได้รับวัคซีนยังไม่ครบถ้วนสามารถตรวจ RT-PCR ภายใน 72 ชั่วโมงก่อนเดินทาง และจะสามารถเข้าประเทศได้โดยไม่ต้องมีการตรวจใดๆ เพิ่มเติม เช่นเดียวกับผู้โดยสารที่ได้รับวัคซีนครบถ้วนแล้ว หากผู้โดยสารกลุ่มนี้ไม่มีผลตรวจจะต้องเข้าทำการกักตัวตามที่เจ้าหน้าที่ด่านกักกันโรคสั่ง และจะต้องทำการตรวจ RT-PCR ในวันที่ 4 หรือวันที่ 5 ของการกักตัว
- ผู้โดยสารทุกคนต้องมีประกันสุขภาพคุ้มครองโควิด หรือจดหมายรับประกันมูลค่าไม่ต่ำกว่า 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ ที่มีระยะคุ้มครองตลอดระยะเวลาที่อยู่ในประเทศไทย ซึ่งผู้โดยสารสามารถใช้ประกันนี้ในการรักษาอาการของโควิดหากพบว่าเป็นผู้ติดเชื้อ
- ผู้โดยสารจะต้องจัดส่งเอกสารการฉีดวัคซีนหรือการตรวจและประกันในระบบ Thailand Pass ก่อนการเดินทาง และเมื่อเอกสารได้รับการตรวจสอบแล้วผู้โดยสารจะได้ QR Code เพื่อให้แสดงต่อสายการบิน หากไม่มี QR Code นี้ สายการบินอาจปฏิเสธการรับขนส่งผู้โดยสารได้
- สายการบินจะต้องทำการตรวจสอบผู้เดินทางว่ามี QR Code จากระบบ Thailand Pass ก่อนรับเป็นผู้โดยสารมากับอากาศยาน และหากพบว่าผู้โดยสารเดินทางมาถึงประเทศไทยโดยไม่มี QR Code สายการบินจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบส่งผู้โดยสารกลับประเทศต้นทาง
- สนามบินและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องดำเนินการตามมาตรการของรัฐอย่างเคร่งครัด เช่น การให้สวมหน้ากาก การตรวจสอบอุณหภูมิร่างกายก่อนเข้าหรือออก ตามที่รัฐบาลได้สั่งการอย่างเข้มงวด
นอกจากนี้ยังได้ประชุมเตรียมความพร้อมร่วมกับท่าอากาศยานภายใต้การกำกับดูแลของ บมจ.ท่าอากาศยานไทย (ทอท.) ทั้ง 6 แห่ง ประกอบด้วย ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ, ท่าอากาศยานดอนเมือง, ท่าอากาศยานเชียงใหม่, ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย, ท่าอากาศยานภูเก็ต และท่าอากาศยานหาดใหญ่ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พบว่ามีความพร้อมรองรับการเปิดประเทศทุกด้าน ทั้งกระบวนการคัดกรองและการให้บริการผู้โดยสารขาเข้าและขาออก มีการดำเนินการที่เป็นระบบ รวมทั้งมีความสามารถในการรองรับผู้โดยสาร อาคารจอดรถ และระบบการให้บริการขนส่งสาธารณะ
ทั้งนี้ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิซึ่งเป็นท่าอากาศยานหลักในการให้บริการผู้โดยสารทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ มีขั้นตอนการคัดกรองผู้โดยสารตามข้อกำหนดใหม่ เพื่อให้การบริการแต่ละขั้นตอนเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ โดยแบ่งผู้โดยสารที่เดินทางเข้าประเทศไทยเป็น 2 กลุ่ม คือ ผู้โดยสารที่ได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์และผู้โดยสารที่ไม่ได้รับวัคซีนแต่มีผลตรวจ RT-PCR ไม่เกิน 72 ชั่วโมง สามารถเข้าประเทศได้ตามกระบวนการผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศตามขั้นตอนปกติ และผู้โดยสารที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน/ฉีดวัคซีนไม่ครบ และไม่มีผลตรวจ RT-PCR เมื่อลงจากอากาศยานเรียบร้อยแล้ว ต้องเข้าสู่ขั้นตอนการเข้าประเทศตามระบบ Seal Route ซึ่งท่าอากาศยานสุวรรณภูมิกำหนดให้ผ่านพิธีการศุลกากรที่ช่องทางออก C (Exit C) เท่านั้น เพื่อมาพบกับตัวแทนโรงแรม AQ ที่บริเวณประตูทางออกหมายเลข 10 และขึ้นรถโดยสารที่ทางโรงแรมจัดเตรียมไว้เพื่อเข้าสู่กระบวนการกักตัวต่อไป
ภายหลังการผ่อนคลายมาตรการการเดินทางเข้าประเทศไทยแล้ว จะส่งผลให้เดือนพฤษภาคม ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิมีจำนวนผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศเฉลี่ยวันละ 15,954 คน เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายนที่มีจำนวนผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศเฉลี่ยวันละ 11,594 คน หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้นร้อยละ 37.61 เที่ยวบินขาเข้าระหว่างประเทศมีจำนวนเฉลี่ยวันละ 180 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายนที่มีจำนวนเที่ยวบินขาเข้าระหว่างประเทศเฉลี่ยวันละ 140 เที่ยวบิน หรือเพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 28.57 (ข้อมูล ณ วันที่ 28 เมษายน 2565)