อาจจะจบลงแบบน่าเสียดายสักหน่อยสำหรับทีมชาติไทยในศึกฟุตบอลเอเชียนคัพ 2023 แต่ดูเหมือนใจของเราจะตรงกันว่า ไม่มีอะไรให้รู้สึกเสียใจแม้แต่น้อย
นักรบลูกหนังแดนสยามสู้ได้อย่างน่าภาคภูมิใจทุกนัดที่ลงสนาม ทั้ง 3 เกมของรอบแบ่งกลุ่มไปจนถึงรอบ 16 ทีมสุดท้ายที่ถึงจะพ่ายแพ้ต่อชั้นเชิงและประสบการณ์ที่เหนือกว่าของอุซเบกิสถาน แต่ก็ยืนหยัดต่อสู้ได้อย่างสง่างาม
เสียงปรบมือดังกึกก้องไม่เพียงแค่ในสนามอัลยานูบเท่านั้น แต่ยังดังกระหึ่มไปทั่วทั้งโซเชียลมีเดียที่สดุดีความทุ่มเทของผู้เล่นทุกคนไปจนถึงทีมสตาฟฟ์โค้ช และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง มาซาทาดะ อิชิอิ โค้ชใหญ่คนปัจจุบันที่พิสูจน์ให้เห็นว่าฝีมือของเขาคือของจริง ไม่ใช่เพียงแค่เสียงลือเสียงเล่าอ้าง
มากกว่านั้นคือการพิสูจน์ร่วมกันของวงการฟุตบอลไทยว่าเรายังมี ‘ความหวัง’ อยู่เสมอ
แต่ในเวลาเดียวกันมันยังมีสิ่งที่เราต้องรอการพิสูจน์อีกมากมายหลังจากนี้
นับตั้งแต่การลงสนามของทีมชาติไทยนัดแรก รายการเอเชียนคัพ ในการพบกับทีมชาติคีร์กีซสถาน บรรยากาศของวงการฟุตบอลไทยได้เปลี่ยนแปลงทันที
เปลี่ยนจากฤดูร้อนกลายเป็นฤดูรัก
นั่นเพราะผลงานในสนามของขุนพล ‘ช้างศึก’ ทีมชาติไทย ดีเกินความคาดหมายไปมาก นานเท่าไรแล้วที่เราไม่ได้เห็นทีมชาติไทยเล่นกันได้อย่างลื่นไหลสวยงามขนาดนี้ มากกว่านั้นคือเรื่องของกลยุทธ์ วิธีการเล่น และสำคัญที่สุดคือเรื่องของหัวจิตหัวใจ
เรียกว่ามีอยู่ 100 แต่ใส่ให้ 150
การขาดหายของสองนักเตะจอมเก๋าที่ดีที่สุดอย่าง ธีรศิลป์ แดงดา และ ชนาธิป สรงกระสินธ์ กลายเป็นโอกาสที่ทำให้เราได้มองเห็นภาพอนาคตของทีมชาติไทยชัดขึ้นด้วยสายเลือดใหม่อย่าง ศุภชัย ใจเด็ด, สุภโชค สารชาติ, ศุภณัฎฐ์ เหมือนตา รวมถึง วีระเทพ ป้อมพันธุ์, เอเลียส ดอเลาะ, พีรดนย์ ฉ่ำรัศมี, บดินทร์ ผาลา, นิโคลัส มิคเกลสัน ไปจนถึง ปฏิวัติ คำไหม
นักเตะเหล่านี้ดีพอสำหรับการก้าวขึ้นมาแบกรับทีมร่วมกับรุ่นพี่แล้ว และฉายแววได้อย่างโดดเด่นยิ่งกว่าที่ผ่านมา
แน่นอนว่าต้องยกความดีความชอบให้กับอิชิอิด้วย ในฐานะนายใหญ่ที่ต้องเข้ามารับเผือกร้อนในการคุมทีมรายการนี้ต่อจาก มาโน โพลกิง โดยมีระยะเวลาในการเตรียมงานที่น้อยจนน่าตกใจ ไหนจะมีปัญหาเรื่องของการวางแผนเก็บตัวประสานงานของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ที่ไม่ได้เอื้อต่อการทำงานเลย
แต่ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ กุนซือชาวญี่ปุ่นสามารถสร้างระบบการเล่น วิธีการเล่น สไตล์ และดึงศักยภาพผู้เล่นออกมาได้อย่างน่าอัศจรรย์
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเปลี่ยนทีมฟุตบอลทีมหนึ่งให้เล่นดีขึ้นแบบผิดหูผิดตาในเวลาแค่ไม่ถึงเดือน
จริงอยู่ที่ไทยยังไม่ได้ยอดเยี่ยมที่สุด ยังมองเห็นปัญหาในหลายจุด โดยเฉพาะการแก้เกมเพรสซิงของคู่แข่ง ที่หากโดนกดดันขึ้นมายังคงมีปัญหากับการแก้ไขสถานการณ์ หรือการตัดสินใจเลือกชอยส์การเล่นที่ไม่ดีนัก
ไปจนถึงเกมรับที่ยังมีข้อผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ในบางสถานการณ์ ซึ่งนำไปสู่ความผิดพลาดใหญ่ได้ เหมือนในเกมเมื่อคืนนี้กับอุซเบกิสถาน 2 ประตูที่เสียไปเกิดจากการประมาทคู่แข่งเพียงเสี้ยววินาที ซึ่งนำไปสู่การโดนลงโทษได้เลย
แต่หากเราเลือกมองในแง่งาม จากทั้ง 4 นัดไม่ว่าจะเป็นเกมกับคีร์กีซสถาน, โอมาน, ซาอุดีอาระเบีย และอุซเบกิซสถาน ก็จะพบว่า อิชิอิได้เริ่มต้นวางรากฐานสิ่งที่ดีให้กับทีมชาติไทย (เอาล่ะถ้าจะตำหนิกันบ้างก็มีแค่เรื่องการจัดตัว 11 คนแรกในเกมเจอแข้งอุซเบกเท่านั้น)
หลังการหลงทางในความมืดมนมาหลายปี ในที่สุดทีมชาติไทยก็ได้พบโค้ชที่ ‘ใช่’ ที่เก่งกาจทั้งฝีมือและเข้าใจกับฟุตบอลไทยอย่างลึกซึ้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ใช่โค้ชทุกคนบนโลกจะเข้าใจได้ เพราะฟุตบอลไทยมีรายละเอียดสลับซับซ้อนที่ซ้อนทับกันในหลายมิติ
นั่นนำไปสู่สิ่งที่ดีที่สุดคือ การที่ทีมชาติไทยในเอเชียนคัพครั้งนี้ได้จุดประกายความหวังกลับคืนมา
คำว่า ‘ศรัทธา’ กับฟุตบอลไทยไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ของแบบนี้มีอยู่จริงและพิสูจน์ผ่านวันเวลามาหลายยุคสมัย (สาธุ)
ถ้ายุคไหนศรัทธามา ยุคนั้นคือช่วงเวลาที่ดี เหมือนสมัยอดีตตั้งแต่ยุคดาราเอเชียของ ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน, เฉลิมวุฒิ สง่าพล มาจนถึง ‘ดรีมทีม’ ที่ได้ บิ๊กหอย-ธวัชชัย สัจจกุล ปลุกปั้นนักเตะอย่าง ซิโก้-เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง, ดุสิต เฉลิมแสน, สุรชัย จตุรภัทรพงศ์
และ 10 ปีที่แล้วที่ ซิโก้ได้กลับมาจุดประกายให้ฟุตบอลไทยด้วยตัวเองอีกทอดหนึ่งในบทบาทหัวหน้าโค้ชทีมชาติไทย
ในบ้านอื่นเมืองอื่น สมการจะเป็นฟุตบอลภายในประเทศต้องแข็งแรงก่อนจึงมาถึงทีมชาติ แต่สำหรับในไทยแล้ว ฟุตบอลทีมชาติต้องแข็งแรงก่อน ฟุตบอลภายในประเทศถึงจะแข็งแรง
ประกายความหวังในเอเชียนคัพจึงหมายถึงความหวังในการจุดประกายให้ฟุตบอลไทยกลับคืนมาด้วย หลังจากที่ซบเซาจนใกล้จะขาดใจตาย
แต่จุดนี้เองคือสิ่งที่จะเป็นบทพิสูจน์สำหรับคนที่อยู่สูงกว่าอิชิอิ ซึ่งไม่ใช่เรื่องของ บิ๊กอ๊อด-สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ที่กำลังจะครบวาระตำแหน่งนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ในอีกไม่กี่วันข้างหน้าแล้ว
มันคือเรื่องของผู้บริหารสมาคมชุดใหม่ที่จะต้องหาทางเอาประกายไฟที่ได้มาไปจุดต่ออีกที โดยมีสิ่งที่ต้องจัดการแก้ไขอีกมากมาย
อย่างแรกคือ การพยายามยืนระยะกระแสของทีมชาติไทยเอาไว้ให้ได้นานที่สุดผ่านการทำผลงานให้ดีต่อเนื่อง ซึ่งจุดตัดสินคือ 4 นัดหลังจากนี้ในรายการฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบที่ 2 ซึ่งจะพบกับทีมชาติเกาหลีใต้ 2 นัด ก่อนจะวัดกับจีนและสิงคโปร์ต่อ
ไทยยังมีความหวังอยู่ ซึ่งต้องพยายามสนับสนุนการทำงานของอิชิอิให้ดีที่สุด โดยไม่ได้คิดแค่เรื่องของเงินอัดฉีดโบนัส ซึ่งเป็นปลายเหตุแล้ว
ต่อมาคือเรื่องของฟุตบอลภายในประเทศที่ต้องฟื้นฟูอย่างเร่งด่วน เพราะฟุตบอลไทยจะล้มอีกไม่ได้ มันไม่ไหวแล้ว ลีกต้องพยายามสร้างมูลค่ากลับมาอีกครั้ง โดยลีกบนจะต้องดูแลลีกล่างไปด้วย จะปล่อยให้หมดลมหายใจไม่ได้อย่างเด็ดขาด
ถัดมาคือ การทบทวนแนวทางสำหรับวงการฟุตบอลไทยในอนาคต ในยุคของบิ๊กอ๊อดได้เคยมีการทำ ‘Thailand Way’ ยุทธศาสตร์ฟุตบอลแห่งชาติ แต่คำถามที่หลายคนอยากรู้และไม่เคยมีคำตอบคือ สิ่งเหล่านี้ได้ทำไปมากน้อยแค่ไหน มีการวัดผลหรือไม่
จำเป็นต้องมีการอัปเดตหรือมีการปรับเปลี่ยนแปลง ไปจนถึงการกำหนดยุทธศาสตร์ใหม่หรือเปล่า?
สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ในทางตรงกันข้าม ชาติที่ประสบความสำเร็จอย่างญี่ปุ่นหรือแม้แต่เบลเยียมก็เริ่มต้นจากการกำหนดยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน
มองฟุตบอลไทยแบบไหน อยากเห็นฟุตบอลไทยเป็นแบบไหน เราจะเล่นแบบไหน จะพัฒนาตัวเองอย่างไร แล้วเราจะทำอย่างไรเพื่อจะไปให้ถึงจุดหมายนั้น
อยากไปฟุตบอลโลก? คิดว่าจะใช้เวลาสักเท่าไร 20 ปี 30 ปี หรือ 50 ปี คุยกันอย่างตรงไปตรงมา
ไหนจะเรื่องของวิทยาการจัดการ วิทยาศาสตร์การกีฬา โภชนาการ ไปจนถึงเรื่อง Data Driven การนำข้อมูลมาใช้ ตอนนี้วงการฟุตบอลไทยจริงจังกับเรื่องเหล่านี้แค่ไหน? เรามีนักวิเคราะห์ที่นำตัวเลขสถิติมาตีความและใช้ประโยชน์ได้จริงกี่คน และเป็นไปได้ไหมที่เราจะทำให้สิ่งเหล่านี้คือ ‘สแตนดาร์ด’ สำหรับทุกทีมในไทย
เพราะฟุตบอลเป็นเรื่องของทั้ง ‘ศาสตร์’ และ ‘ศิลป์’ ตัวเลขสถิติเป็นองค์ประกอบสำคัญสำหรับเกมฟุตบอลสมัยใหม่ เมืองนอกเขาคุยกันด้วยตัวเลขแบบ Organic และ Real-Time วิ่งเท่าไร ระยะเท่าไร ในระยะวิ่งสปรินต์กี่ครั้ง ผ่านบอลสั้นสำเร็จกี่หน ผ่านบอลยาวสำเร็จกี่หน จุดที่วางบอลทิ้งไปตรงไหน ฯลฯ
พูดไปแล้วก็นึกได้เรื่อยๆ ว่ายังมีสิ่งที่ฟุตบอลไทยต้องพิสูจน์อีกมาก
ฟุตบอลไทยไม่ใช่แค่ทีมชาติไทย ไม่ใช่อิชิอิคนเดียวหรือแฟนบอลทุกคนต้องแบกรับ
ไม่อยากให้ผลงานในเอเชียนคัพเป็นเพียงแค่การจุดเทียนเล่มเดียวแล้วถูกสายลมพัดจนแสงเทียนเลือนหายไป
อยากให้จุดแล้วช่วยกันต่อเทียนไปเรื่อยๆ ทีละเล่ม อาจใช้เวลาหน่อย แต่ถ้าวันหนึ่งจุดได้มากพอ วงการฟุตบอลไทยจะสว่างไสว
แม้ประสบการณ์ที่ผ่านมาจะเตือนตัวเองว่าอย่าคาดหวังอะไรมากมายนัก
แต่เพราะรัก จะไม่ให้ห่วงหาอย่างไรไหว 🇹🇭