วันนี้ (18 มกราคม) พิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ตนและคณะผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์มีกำหนดการเดินทางเข้าร่วมการประชุมประจำปี World Economic Forum (WEF) ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 20-24 มกราคม 2568 ณ เมืองดาวอส สมาพันธรัฐสวิส
โดยจะเข้าร่วมลงนามความตกลงการค้าเสรี (FTA) ระหว่างไทยกับสมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (EFTA) มี แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นสักขีพยาน พร้อมทั้งเข้าร่วมการหารืออย่างไม่เป็นทางการกับรัฐมนตรีประเทศสมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO) ซึ่งจะจัดขึ้นต่อเนื่องกับการประชุม WEF เพื่อเดินหน้าผลักดันการค้าไทยในเวทีโลก และจะร่วมหารือประเด็นการค้ากับผู้อำนวยการใหญ่ของ WTO ในการแลกเปลี่ยนมุมมองในประเด็นด้านการค้า และความร่วมมือภายใต้กรอบความร่วมมือของ WTO ของไทยด้วย
พิชัยกล่าวว่า เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2568 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเห็นชอบผลการเจรจาจัดทำ FTA ระหว่างไทยกับ EFTA ซึ่งประกอบด้วยสมาชิก 4 ประเทศ คือ สวิตเซอร์แลนด์, นอร์เวย์, ไอซ์แลนด์ และลิกเตนสไตน์ หลังจากที่เร่งรัดการเจรจามาตลอดช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา
ถือเป็นหนึ่งในความสำเร็จตามนโยบายสำคัญของรัฐบาลที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์เร่งเจรจาจัดทำ FTA กับประเทศคู่ค้าต่างๆ ขยายโอกาสในการส่งออกสินค้าและบริการของไทย สร้างแต้มต่อและอำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการในการทำธุรกิจ ดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติในอุตสาหกรรมที่ไทยมีศักยภาพและอุตสาหกรรมใหม่
ซึ่งความสำเร็จของ FTA ฉบับนี้ ถือเป็นหน้าใหม่ของประวัติศาสตร์การค้าไทย เนื่องจากเป็น FTA ฉบับแรกที่ไทยทำกับกลุ่มประเทศในยุโรป มีความทันสมัย มาตรฐานสูง สอดคล้องกับพัฒนาการของกฎเกณฑ์การค้ายุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งจะปูทางไปสู่การเจรจาจัดทำ FTA ของไทยกับคู่ค้าสำคัญอื่นๆ เช่น สหภาพยุโรป และในปี 2568 กระทรวงพาณิชย์ยังวางเป้าหมายที่จะเดินหน้าเร่งจัดทำ FTA กับภูฏานและเกาหลีใต้เพิ่มเติมด้วย
พิชัยกล่าวอีกว่า ในโอกาสเข้าร่วมประชุม WEF ครั้งนี้ ตนยังได้รับเชิญให้เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีองค์การการค้าโลกอย่างไม่เป็นทางการ (Informal WTO Ministerial Gathering: IMG) ซึ่งเป็นการประชุมระดับรัฐมนตรีกลุ่มเล็กที่มีผู้เข้าร่วมประมาณ 20-30 คน โดยประเทศเจ้าภาพจะคัดเลือกเฉพาะสมาชิก WTO ที่มีบทบาทสำคัญมาเข้าร่วมประชุม จึงเป็นโอกาสที่ไทยจะได้แสดงวิสัยทัศน์และผลักดันประเด็นที่เป็นประโยชน์ต่อไทย เช่น การเจรจาการเกษตร ความตกลงการอุดหนุนประมง และการปฏิรูป WTO เป็นต้น
ทั้งนี้ ปี 2567 (เดือนมกราคม-พฤศจิกายน) ไทยกับ EFTA มีมูลค่าการค้ารวม 11,467.03 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นร้อยละ 2.06 ของการค้าทั้งหมดของไทยกับโลก ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ 24.94 โดยไทยส่งออกไป EFTA 4,121.84 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และนำเข้าจาก EFTA 7,345.20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
สินค้าส่งออกสำคัญของไทยไป EFTA ได้แก่ อัญมณีและเครื่องประดับ, นาฬิกาและส่วนประกอบ, เหล็กและผลิตภัณฑ์, อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป, เครื่องใช้สำหรับเดินทาง, เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ, แผงควบคุมกระแสไฟฟ้า, เครื่องสำอาง, เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ, ผลิตภัณฑ์พลาสติก และข้าว
ส่วนสินค้านำเข้าสำคัญของไทยจาก EFTA ได้แก่ อัญมณีและเครื่องประดับ, นาฬิกาและส่วนประกอบ, เนื้อสัตว์, ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม, ยากำจัดศัตรูพืช, เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ, เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ, สัตว์น้ำสด แช่เย็น แช่แข็ง และแปรรูป, เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์ และเคมีภัณฑ์