‘ดร.ศุภวุฒิ’ เปิดชุดข้อมูล GDP ไทย ช่วง 25 ปีย้อนหลัง พบว่า เศรษฐกิจไทยถดถอยมานานกว่า 2 ทศวรรษ พร้อมแนะ 7 ข้อที่ไทยต้องเร่งทำ และเตรียมบรรจุใต้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 14 โดยหนึ่งในนั้นคือ Wellness Economy การลดพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ และไทยควรร่วมขบวน CPTPP
ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และที่ปรึกษากลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) กล่าวในปาฐกถาพิเศษหัวข้อ ‘พลวัตเศรษฐกิจโลกกับโจทย์ใหญ่ของประเทศกำลังพัฒนา’ จัดโดย สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) ในงาน ‘ITD Research Forum 2025’ ว่า การแยกห่วงโซ่อุปทาน (decoupling) โลกแบ่งขั้ว ระหว่างจีน-สหรัฐ ที่บีบไทยให้เลือกข้าง คือโจทย์ใหญ่ของไทย
โดยจีนใช้นโยบาย ‘Made in China 2025’ ผลักดันอุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยี เพื่อชิงความเป็นผู้นำทั้งด้าน ปัญญาประดิษฐ์ (AI) รถยนต์ไฟฟ้า (EV) พลังงานหมุนเวียน ซึ่งต้องยอมรับว่า ประสบความสำเร็จมาก
ส่วนสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ใช้นโยบายการค้า ‘เก็บภาษีตอบโต้คู่ค้า’ และโลกจะเต็มไปด้วยคลื่น ‘ภาษี’ ที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งทรัมป์มองข้ามการใช้การค้าแบบพหุภาคีขององค์การการค้าโลก (WTO) ไปโดยสิ้นเชิง หรือแทบไม่มีการพูดถึง WTO อีกเลย ทรัมป์ปรับเปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับคู่ค้าเป็นแบบนโยบาย ‘ตามสั่ง’
เมื่อถามว่า หากอนาคตทรัมป์พ้นจากตำแหน่งนโยบายนี้จะหายไปหรือไม่ ตอบได้ทันทีว่า ไม่ เพราะฝ่ายขวาจัดพรรครีพับลิกัน กับฝ่ายซ้ายเห็นพ้องว่าภาษีศุลกากรเป็นสิ่งที่ดี และจะทำให้รัฐบาลจัดเก็บภาษีได้ ตลอดจนเรียกคะแนนเสียงกลุ่ม 7 รัฐสมรภูมิ ‘สวิงสเตต’ (swing state) มองว่านโยบายนี้ จะทำให้มีการจ้างงานชาวอเมริกันมากขึ้น
นอกจากนี้ หากดูจากทรัมป์ถอนตัวจากการเข้าร่วม ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิกที่ครอบคลุมและก้าวหน้า (CPTPP) และ WTO รวมถึงปิดองค์การเพื่อการพัฒนาระหว่าง ประเทศของสหรัฐอเมริกา (United States Agency for International Development หรือ USAID) รวมถึงความสัมพันธ์กับจีน ซึ่งจีนเองก็พร้อมที่จะลดทอนการพึ่งพาสหรัฐฯ เช่นจะเห็นว่า จีนกั๊กสหรัฐฯ การส่งออกแร่ Rare Earth ทำให้ทรัมป์ไม่กล้า ส่วนอเมริกาก็กั๊กเรื่องเทคโนโลยี จึงเกิดการค้าที่เป็นรูปแบบ ‘กั๊กกัน’
“ทั้งหมดนี้ ไทยก็จะโดนกดดันไปด้วย ซึ่งเราต้องต้านทานไว้เพื่อไม่เลือกข้าง เพราะเราต้องการค้าขายกับทั้ง 2 ประเทศ สิ่งที่ทำได้คือ เราต้องปรับตัว”
“ปัจจุบัน สัดส่วน GDP สหรัฐและจีน รวมกัน 40% ของโลก ไทยยืนอยู่ตรงไหน?
วันนี้ ไทยจำเป็นต้องสร้างความสัมพันธ์ทางการค้า เศรษฐกิจกับประเทศอื่น กลุ่มต่างๆ ที่เป็นไปได้คือ CPTPP ซึ่งเป็นข้อตกลงที่ทันสมัย ลึกซึ้ง ครบถ้วน ซึ่งอาเซียน 3 ประเทศเข้าไปแล้ว ไทยต้องกล้าตัดสินใจเข้าร่วมด้วย เนื่องจาก สหภาพยุโรป (EU) ก็เริ่มหันมามองกลุ่ม CPTPP เพื่อเชื่อมสัมพันธ์การค้า ดังนั้น ไทยไม่ควรตกขบวน” ดร.ศุภวุฒิ กล่าว
GDP ไทยเคยโตทะลุ 8% ในช่วง 25 ปี เศรษฐกิจอ่อนแรงลงทุกด้าน
ดร.ศุภวุฒิ สะท้อนข้อมูลความถดถอยของเศรษฐกิจไทย ที่น่าห่วง เมื่อพบว่า เศรษฐกิจไทยอ่อนแรงลงตลอดระยะเวลา 25 ปีที่ผ่านมา โดย GDP ช่วงปี 1991-1996 ไทยเคยเติบโตมากถึง 8%
หลังจากนั้นค่อย ๆ ลดลงมา เหลือ 5% ปัจจุบันลดลงเหลือแค่ 0.5-1.0% เหลือแค่ครึ่งเปอร์เซ็นต์ การหดตัวของ GDP มาจากเงินเฟ้อก็ต่ำกว่าเป้า ซึ่งส่วนนี้สำคัญมากเพราะสะท้อนถึงยอดขายในแต่ละปีที่ควรจะเพิ่มขึ้น จำนวนประชากรลดลง วัยแรงงานหนุ่มสาวลดลง งบประมาณขาดดุลต่อเนื่อง การไหลเข้า-ออก ของเงินทุน ก็ลดลงอย่างมากจนถึงติดลบ
“สมัยก่อนทำธุรกิจยอดขายโต 10% ก็ค่อนข้างสบาย แต่ตอนนี้ดูยอดขายโต 2% โดยเฉลี่ย ถามว่าทำไมลำบาก ก็มาจาก ดอกเบี้ยเงินกู้อยู่ในอัตราที่สูง ทุกอย่างคือสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องจ่าย ต้นทุนผลิตสูง ซึ่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้ระบุว่า แต่ละบริษัทก็ลดจำนวนพนักงานถาวร หันไปจ้างพาร์ตไทม์แทน นี่คือสิ่งที่ไทยต้องแก้ให้ได้”
อีกชุดข้อมูล คือ ดุลงบประมาณ ช่วงปี 1990 รัฐบาลไม่ได้อุ้มเศรษฐกิจ แต่เศรษฐกิจอุ้มงบประมาณ ตอนนั้น ค้าขายง่ายมาก ถึงขั้นรัฐบาลต้องดึงเศรษฐกิจให้ช้าลง เพราะต้องเก็บภาษีให้เยอะ ใช้เงินให้น้อย ไม่เช่นนั้นอาจจะโตทะลุ 10% ด้วยซ้ำไป
“หันมาดูวันนี้รัฐบาลขาดดุล 5% เพื่อให้ GDP โตได้ครึ่งเปอร์เซ็นต์ เราอยู่อย่างนี้ไม่ได้แล้ว รัฐบาลต้องขาดดุล 2% เพื่อพยุงให้ GDP โต 4% และควรควบคุมไม่ให้หนี้สาธารณะพุ่งขึ้นไป”
ดังนั้น ถามว่าประเทศไทย ยังมีอะไรเหลือหรือไม่ ยังมี ซึ่งเรามีทุนสำรองไม่น้อย ราว 9.28 ล้านล้านบาท คิดเป็น 50.4% ของ GDP ไทยควรตั้งกองทุนต่างประเทศ รูปแบบ Sovereign wealth fund เพื่อนำเงินไปลงทุน ด้วยความระมัดระวัง ซึ่งตัวอย่างที่ทำได้ดีคือ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.)
อีกประเด็น คือเรื่องของการแบกดอกเบี้ยสูงอาจเสี่ยงถูกลดระดับความเชื่อมั่น ส่วนเงินบาทก็แข็งค่าเกินไปและนานหลายปีต่างจากหลายประเทศ ทำให้แข่งขันยาก นี่คือจุดอ่อนของนโยบายการเงินการคลังของไทย
7 ข้อที่ไทยต้องเร่งทำ
- ลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐและเข้าร่วม CPTPP
- การเปิดเสรีการนำเข้าสินค้าเกษตรเพื่อขยายกำลังการผลิตแปรรูปอาหาร
- ปรับปรุงการเกษตรให้ทันสมัย
- พัฒนาระบบโลจิสติกส์ทางรถไฟ ท่าเรือให้เป็นศูนย์กลางการขนส่ง
- สร้างความมั่นคงทางด้านอาหารในภูมิภาค
- เปลี่ยนการเติบโตจากการส่งออกเดิมๆเป็นอุตสาหกรรมใหม่ เช่น Wellness Economy และอาหาร ซึ่งเป็นจุดแข็งของไทยที่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
- ปฏิรูปการศึกษา
ขณะนี้ อยู่ระหว่างบรรจุทั้ง 7 ข้อ ไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 14 อีกด้วย
“จากแผนดังข้างต้น ข้อที่ 6 สำคัญมาก ไทยต้องไปแข่งในตลาด Blue Ocean (ตลาดที่มีคู่แข่งน้อย) นั่นคืออาหารในตลาดจีนที่ใหญ่ และอนาคตจีนอาจต้องการ Food Safety”
นอกจากนี้ ไทยต้องยอมรับว่า มีความจำเป็นต้องนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ แม้ว่าเป็นโอกาส แต่แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่าย และต้องประเมินส่วนได้ส่วนเสีย เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ไทยพึ่งพาการนำเข้าถึง 4.5 ล้านตันต่อปี แต่ความต้องการแต่ละปีสูงมาก ขณะที่ต้นทุนการผลิตสูงกว่าสหรัฐฯและประเทศอื่นมาก สิ่งเหล่านี้ล้วนซ่อนอยู่ในภาระค่าครองชีพคนไทยที่แพงขึ้น
นอกจากนี้ ทุกการหารือที่บ้านพิษณุโลก ต่างเห็นตรงกันว่าเรื่องศูนย์กลางโลจิสติกส์ภูมิภาคและเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อให้ไทยสามารถส่งออกสินค้า เช่น อาหารไปยังจีนและเพื่อนบ้านได้