×

กัญชาเสรีใกล้อวสาน? อนาคตธุรกิจ 4.5 หมื่นล้าน แขวนอยู่กับเกมการเมือง

04.09.2025
  • LOADING...
ร้านขายกัญชาในกรุงเทพฯ สะท้อนธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายใหม่ของรัฐบาลไทย

นับจากการ ‘ปลดล็อกกัญชา’ ผ่านมาแล้ว 3 ปี ‘กัญชา’ กำลังจะนำกลับไปเป็นยาเสพติดอีกครั้ง โดยเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2568 สมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ลงนามประกาศควบคุม เลิก กัญชา เสรี ใช้ทางการแพทย์เท่านั้น พร้อมสั่งห้ามจำหน่าย หากไม่มีใบอนุญาต รวมถึงในช่องทางออนไลน์ ห้ามจำหน่ายสมุนไพรควบคุม หรือสินค้าที่แปรรูปจากสมุนไพรควบคุมเพื่อการค้า 

 

แน่นอนว่าเพื่อควบคุมการใช้ผิดวัตถุประสงค์

 

แต่ในอีกแง่ มิติเชิงธุรกิจก็กำลังสร้างความสับสน ได้รับผลกระทบหนัก จากนโยบายที่ปรับเปลี่ยนกะทันหัน มีรายงานว่าธุรกิจซ่อนเม็ดเงินในตลาดมืด บางแห่งจำต้องปิดกิจการเพราะยอดขายลดลง 90%

 

สำนักข่าว The Guardian รายงานว่า อนุทิน ชาญวีรกูล อดีตมหาเศรษฐีที่โด่งดังจากนโยบายกัญชาเสรี ที่ผันตัวมาเป็นนักการเมือง ขึ้นแท่นว่าที่ผู้ชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนต่อไปของประเทศไทย หลังจากการเจรจาที่ตึงเครียดมาหลายวัน

 

ร้านขายกัญชาในกรุงเทพฯ สะท้อนธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายใหม่ของรัฐบาลไทย

 

อนุทิน หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย  เป็นที่รู้จักในฐานะผู้บุกเบิก นโยบายกัญชาถูกกฎหมายเพื่อทางการแพทย์ ได้รับการสนับสนุนจาก ส.ส. จากพรรคประชาชน ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านหลัก ให้จัดตั้งรัฐบาลรักษาการ โดยมีเงื่อนไขว่า ต้องลงนามตามข้อตกลงที่หัวหน้าพรรควางไว้

 

ธุรกิจซบเซา ยอดขายลดลงถึง 90%

 

รายงานข่าวระบุว่า หากชำแหละนโยบายกัญชาที่ผ่านมา นับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน ที่ผ่านมา กำหนดให้จำหน่ายกัญชาได้เฉพาะเพื่อวัตถุประสงค์เพื่อทางการแพทย์ ธุรกิจต่างๆ ระบุว่าลูกค้าหันไปพึ่งช่องทางการขายแบบใต้ดิน ส่งผลให้ยอดขายในร้านค้าที่ได้รับใบอนุญาตอย่างถูกต้อง 18,000 แห่ง ทั่วประเทศลดลงถึง 90%

 


 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 


 

การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวสร้างความกลัวและความสับสนในหมู่ลูกค้า และสั่นคลอนเจตนารมณ์ของธุรกิจขนาดเล็กที่กำลังประสบปัญหาในการปฏิบัติตามกฎระเบียบดังกล่าว

 

แม้ว่ากัญชาทางการแพทย์จะยังคงถูกกฎหมาย แต่ผู้ซื้อและผู้จัดจำหน่ายก็ ต้องมีใบสั่งยาจากแพทย์ ส่วนผู้ขายที่ฝ่าฝืนคำสั่งดังกล่าวจะต้องได้รับโทษจำคุกสูงสุด 1 ปี และปรับ 20,000 บาท (618 ดอลลาร์สหรัฐ) และจะถูกเพิกถอนใบอนุญาต 

 

ขณะที่ ผู้ปลูกต้องปฏิบัติตามใบรับรองของรัฐบาลที่เรียกว่า Thailand GACP (Good Agricultural and Collection Practices) ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้มั่นใจว่าการปลูกกัญชาเป็นไปตามมาตรฐานคุณภาพและความปลอดภัยที่เข้มงวดสำหรับการใช้ทางการแพทย์

 

นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 1 กันยายน ที่ผ่านมา กระทรวงได้ประกาศชี้แจงเพิ่มเติม สำหรับธุรกิจต่างๆซึ่งรวมถึงการให้ผู้ประกอบการลงทะเบียนในฐานข้อมูลกลางของกระทรวง การอนุญาตให้ลูกค้าใหม่เข้าถึงบริการทางการแพทย์ทางไกล แทนที่จะกำหนดให้แพทย์ประจำร้านต้องมาพบแพทย์ และการจัดฝึกอบรมพนักงานเพื่อพัฒนาความรู้และความเป็นมืออาชีพในอุตสาหกรรม

 

สะเทือนตลาด 4.5 หมื่นล้านบาท

 

เสียงสะท้อนจากผู้ที่ทำธุรกิจต่างมองว่า ไม่สามารถปฏิบัติตามได้ในทางปฏิบัติ และเป็นผลมาจากนโยบายกัญชาของประเทศที่ถูกครอบงำโดยการเมือง ในทางกลับกัน อีกฝ่ายมองว่า การเพิ่มกฎระเบียบจะช่วยควบคุมอุตสาหกรรม ที่ขาดการควบคุม คุณภาพในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

 

ทั้งนี้ หลังจากที่ไทยปลดล็อกกัญชาเมื่อปี 2022 บรรดาธุรกิจและร้านค้าซื้อ-ขายกัญชาเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก โดยคาดว่ามีมากกว่า 7,000 แห่งทั่วประเทศไทย

 

ส่วนมูลค่านั้นก็เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยหอการค้าไทยประเมินว่า ภายในปี 2025 ตลาดจะมีมูลค่าสูงถึง 1.2 พันล้านดอลลาร์ (ราวๆ 4.5 หมื่นล้านบาท) 

 

ห่วงกฎหมายเปลี่ยน ‘ธุรกิจบูมในตลาดมืด’

 

ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ธุรกิจค้าปลีกหลายแห่ง สะท้อนตรงกันว่า ยอดขายตกฮวบ โดยรัฐพล แสนรัก ผู้ก่อตั้ง Highland Cafe และผู้นำในอุตสาหกรรมกัญชามานานกว่าทศวรรษ ระบุว่า ทันทีหลังจากประกาศ ยอดขายลดลงประมาณ 80-90% เพราะผู้คนตื่นตระหนกและไม่สะดวกใจที่จะมาซื้อหน้าร้าน 

 

เจ้าของร่วมของร้าน Bangkok Exotics Dispensary ซึ่งขอใช้ชื่อว่า ‘วริษฐา’ ระบุ ไม่กี่วันก่อนที่จะพูดคุยกับ CNA ว่าได้ปิดสาขาหนึ่งที่จังหวัดกระบี่   ลูกค้าของเธอก็หวาดกลัวข้อกำหนดใหม่นี้เช่นกัน ส่งผลให้การขายกัญชาแบบถูกกฎหมายผ่านเคาน์เตอร์ ก็ลดลงเหลือเพียงเศษเสี้ยวของสิ่งที่เคยเป็น

 

 คิตตี้ ช่อผกา นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิกัญชาและผู้ประกอบการ สะท้อนว่า ปัญหาหลักคือ ‘นโยบาย’ รัฐบาลไม่มีประสิทธิภาพ มีความแตกแยกทางการเมืองระหว่างพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นพรรครัฐบาล (ปัจจุบันรักษาการ) ต้องการให้กัญชากลับเข้าสู่บัญชียาเสพติด กับพรรคภูมิใจไทย ซึ่งได้ถอนตัวออกจากรัฐบาลผสมของแพทองธาร ชินวัตร  ในขณะนั้น  

 

 

อนาคตอุตสาหกรรมกัญชาใต้เงาแบ่ง ‘ขั้วอำนาจการเมือง’

 

ภูมิใจไทยมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับอุตสาหกรรมนี้ และต้องการเห็นร่างกฎหมายควบคุมที่ผ่อนปรนลง ซึ่งพรรคสนับสนุนการใช้กัญชาเพื่อวัตถุประสงค์ทางการแพทย์เท่านั้น แต่ต้องการการกำหนดระดับใบอนุญาต การห้ามโฆษณา การจำกัดอายุ และการกำกับดูแลใบสั่งยา

 

“เราปฏิเสธไม่ได้ว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องการเมือง เพราะนโยบายของไทยไม่ได้ดำเนินไปตามหลักการและเหตุผล” คิตตี้กล่าว

 

ใครก็ตามที่อยู่ในอำนาจ หรือใครก็ตามที่มีเงินมากที่สุด ก็จะสามารถทำอะไรก็ได้ที่พวกเขาต้องการ ไม่ใช่แค่กัญชา แต่ทุกนโยบายทางการเมืองในประเทศไทย

 

เธอกล่าวว่า ธุรกิจต้องการกฎระเบียบและต้องการความแน่นอน ซึ่งการทำธุรกิจ จะต้องไม่ตัดผู้ประกอบการรายย่อยและซ้ำเติมจากการแบกรับภาระต้นทุน  

 

ดังนั้น อนาคตของอุตสาหกรรมกัญชายังคงไม่ชัดเจน โดยการวางตัวนายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่จะตัดสินใจในเร็วๆนี้ อาจมีแนวโน้มที่จะมีอิทธิพลต่อกฎหมายกัญชาอีกครั้ง

 

พรรคประชาชน ซึ่งได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้กำหนดนโยบายในการสนับสนุนผู้นำคนใหม่ ได้หลีกเลี่ยงการอภิปรายในช่วงที่ผ่านมา แต่ก่อนหน้านี้ได้แสดงการสนับสนุนการใช้ยานี้เพื่อการแพทย์เท่านั้น

 

แม้ว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จะเคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่า “จะนำกัญชากลับเข้าบัญชียาเสพติด” อย่างแน่นอน แต่เชื่อว่ารัฐบาลยินดีที่จะหาตรงกลาง ด้วยกฎระเบียบใหม่ชุดใหม่ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

 

ส.กัญชงและกัญชา รับธุรกิจกระทบหนัก แนะหากอนุทินเป็นนายกนโยบายต้องชัด 

 

ทศพร นิลกำแหง นายกสมาคมสหอุตสาหกรรมพืชกัญชงและกัญชา กล่าวกับ THE STANDARD WEALTH ว่า  กรณีกระทรวงสาธารณสุขได้ออกประกาศ สมุนไพรควบคุม (กัญชา) พ.ศ. 2568 ที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา มิถุนายน 2568 นั้น มีการกำหนดมาตรการควบคุม ‘ช่อดอกกัญชา’ 

 

นอกจากนี้ ผู้ประกอบการต้องบันทึกผลการมีและการใช้กัญชาในระบบ  พร้อมส่งรายงาน  ขณะเดียวกัน ผู้ป่วยต้องมีใบสั่งจ่ายแพทย์ ภ.ท.33 ซึ่งออกโดยผู้ประกอบวิชาชีพ 6 กลุ่ม 

 

คำประกาศดังกล่าวถ้าดูความเข้มข้นคือเพื่อยกระดับมาตรฐานการปลูกและเพื่อป้องกันการใช้ผิดวัตถุประสงค์ ก็เป็นแนวทางที่ดีแต่

 

แต่ต้องยอมรับว่า บางอย่างที่ผลักดันออกมาบังคับใช้โดยทันที ทำให้ธุรกิจกัญชา กระทบต่อธุรกิจค่อนข้างเยอะ หากดูการลงทุนครอบคลุมตลอดทั้งห่วงโซ่ ก็กระทบระดับหมื่นล้าน ส่วนธุรกิจกัญชง หรือ CBD ค่อนข้างนิ่ง ไม่หวือหวา

 

แต่ปัจจุบันก็พยายามพัฒนาการปลูกและหาสายพันธุ์ เมล็ดพันธุ์ที่ดีขึ้น อนาคตถ้ากัญชงกลับมาก็ทำให้เราแข่งขันได้ ซึ่งปีที่แล้วรัฐบาลญี่ปุ่นก็เปิดตลาดนี้และเป็นโอกาสผู้ประกอบการไทย  

 

 

“ณ ตอนนี้คำประกาศเกี่ยวกับกัญชาที่ออกมาก็ยังมีความสับสนอยู่ และผู้บังคับใช้ก็พยายามอบรม ซึ่งต้องใช้เวลา ทางกรมฯและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบก็ต้องมาคุยกัน ทุกอย่างยังไม่นิ่ง 

 

และขึ้นอยู่กับนโยบาย ความชัดเจน แม้กระทรวงและกรมพยายามผลักดันนโยบายออกมาเพื่อทางการแพทย์ แต่ระยะเวลาปรับตัวสั้นเกินไป”

 

ทศพร ระบุอีกว่า ขณะเดียวกันยังมีเส้นบางๆกฎหมายระหว่างผู้ประกอบการกับผู้ป่วยที่ใช้เอง ซึ่งประเด็นนี้แยกลำบาก  ตรงนี้ยังหาจุดตรงกลางไม่ได้   หลายๆผู้ประกอบการที่ปรับตัวไม่ทัน ก็ชะลอการทำธุรกิจ หรือปิดกิจการไปก่อน

 

“กฎหมายที่ระบุเพิ่ม มีทั้งเพิ่มโทษจำ โทษปรับ ผู้ประกอบการก็สับสนว่าส่วนไหนที่ผิดบ้าง คนที่จะมาซื้อก็รอความชัดเจน อีกปัจจัยหลักบางส่วนคือนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวน้อยลง จึงกระทบสองเด้ง”

 

เมื่อถามว่าหากอนุทินเป็นนายกรัฐมนตรีมองอย่างไรนั้น “ท่านอนุทิน ตั้งธงนโยบายนี้เพื่อทางการแพทย์มาโดยตลอด แต่เมื่อในทางปฏิบัติ การใช้จริงก็ใช้ผิดวัตถุประสงค์ค่อนข้างเยอะ ส่วนตัวมองว่าต่อให้ท่านอนุทิน กลับมาดูนโยบาย และเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ เชื่อว่าท่านคงไม่เปลี่ยนแปลงนโยบายเป็นสันทนาการแน่นอน”

 

ทั้งนี้ ต่อให้ท่านอื่นมาสานต่อหรือเป็นนายกรัฐมนตรี ก็คงวางนโยบายเพื่อทางการแพทย์ เท่านั้น เพราะการออกกฎหมายใดๆนั้นใช้ระยะเวลาขั้นต่ำ 2 ปี แต่ละนโยบายล้วนใช้เวลาศึกษาในหลายๆมิติ เชื่อว่า อุตสาหกรรม ‘กัญชงกัญชา’ คืออนาคตพืชเศรษฐกิจใหม่ เป็นโอกาสเพื่อการแพทย์ ควรใช้อย่างถูกวัตถุประสงค์ ที่สำคัญคือนโยบายต้องชัดเจน 

 

ทศพร กล่าว

 

ภาพ: SOPA, Jens Kalaene/picture alliance via Getty Images 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising