×

เปิดชื่อ 3 อันดับธุรกิจปิดกิจการสูงสุดครึ่งปีแรก เหตุเศรษฐกิจซึม ธุรกิจทยอยปิดตัวทะลุ 6,244 ราย

30.07.2025
  • LOADING...
ธุรกิจปิดกิจการ

เศรษฐกิจโลกเผชิญความไม่แน่นอน เผยครึ่งปีแรก 2568 ธุรกิจปิดตัว 6,244 ราย แม้ยอดจดทะเบียนธุรกิจใหม่แตะ 1.5 แสนล้าน ด้านต่างชาติยังเพิ่มการลงทุนในไทยแสนล้าน เติบโต 37% ญี่ปุ่นยังครองแชมป์

 

วันที่ 29 ก.ค. อรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่ากรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้วิเคราะห์สถานการณ์การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่เดือนมิถุนายน 2568 พบว่า มีธุรกิจจัดตั้งใหม่ 7,023 ราย ลดลง 328 ราย (-4.46%) ส่วน การจัดตั้งใหม่ในครึ่งปีแรกของปี 2568 (มกราคม-มิถุนายน 2568) มีจำนวน 43,838 ราย ลดลง 2,545 ราย (-5.49%) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 (46,383 ราย) 

 

ในขณะที่ทุนจดทะเบียน 149,140 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,061 ล้านบาท (2.80%) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 (145,079 ล้านบาท)

 

ธุรกิจที่มีการจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 

  • ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 3,490 ราย 
  • ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 2,870 ราย
  •  ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 1,832 ราย คิดเป็นสัดส่วน 7.96%, 6.55% และ 4.18% จากจำนวนการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจในครึ่งปีแรกของปี 2568 ตามลำดับ

 

ขณะที่ การจดทะเบียนเลิกประกอบกิจการเดือนมิถุนายน 2568 มีจำนวน 1,468 ราย เพิ่มขึ้น 52 ราย (3.67%) เมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายน 2567 (1,416 ราย) และมีทุนจดทะเบียนเลิก 10,403 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5,499 ล้านบาท (112.16%) เมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายน 2567 (4,904 ล้านบาท)

 

ส่วนการจดทะเบียนเลิกครึ่งปีแรกของปี 2568 (มกราคม-มิถุนายน 2568) มีจำนวน 6,244 ราย เพิ่มขึ้น 205 ราย (3.39%) เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 2567 (6,039 ราย) ทุนจดทะเบียนเลิกสะสมอยู่ที่ 30,544 ล้านบาท ลดลง 46,205 ล้านบาท (-60.20%) เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 2567 (76,748 ล้านบาท) 

 

ธุรกิจที่เลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก 

  •  ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 547 ราย
  •  ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 316 ราย
  • ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 276 ราย คิดเป็นสัดส่วน 8.76%, 5.06% และ 4.42% จากจำนวนการจดทะเบียนเลิกธุรกิจในครึ่งปีแรกของปี 2568 ตามลำดับ

 

“ในครึ่งปีแรกของปี 2568 แม้ตัวเลขการจัดตั้งธุรกิจจะชะลอตัวบ้าง แต่เงินลงทุนจดทะเบียนเพิ่มขึ้น ในส่วนของการจดเลิกธุรกิจตัวเลขขยับขึ้นเล็กน้อยแต่ทุนเลิกลดลง ซึ่งถือว่าเป็นไปตามวัฏจักรของการจดทะเบียนธุรกิจ โดยสัดส่วนการจัดตั้งธุรกิจต่อการจดทะเบียนเลิกมีสัดส่วนอยู่ที่ 7:1 กล่าวคือ จัดตั้ง 7 ราย เลิก 1 ราย โดยสัดส่วนนี้เท่ากับค่าเฉลี่ยของครึ่งปีแรกในช่วง 5 ปีย้อนหลัง (2563-2567)”

 

สำหรับธุรกิจที่เป็นแรงผลักดันให้การจดทะเบียนในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 เติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 2567 มาจาก 5 ธุรกิจหลักๆ ได้แก่ 1) ขายส่งผลิตภัณฑ์อาหารอื่นๆ เติบโตคิดเป็น 64.45% 2) โรงแรม รีสอร์ตและห้องชุด เติบโตคิดเป็น 48.93% 3) กิจกรรมทางกฎหมาย (สำนักงานหรือที่ปรึกษากฎหมาย) เติบโตคิดเป็น 46.79% 4) ขายส่งสินค้าทั่วไปโดยได้รับค่าตอบแทนหรือตามสัญญาจ้าง เติบโตคิดเป็น 46.40% และ 5) ขนส่งและขนถ่ายสินค้ารวมถึงคนโดยสาร เติบโตคิดเป็น 21.05%

 

ขายปลีกสินค้า – ธุรกิจนายหน้าอสังหาฯ ทรุดลงมากสุด

 

ในทางกลับกันก็มีธุรกิจที่การเติบโตลดลง เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 2567 ได้แก่ 1) ขายปลีกสินค้าอื่นๆ ในร้านค้าทั่วไป ลดลงคิดเป็น 31.50% 2) กิจกรรมของตัวแทนและนายหน้าอสังหาริมทรัพย์โดยได้รับค่าตอบแทนหรือตามสัญญาจ้าง ลดลงคิดเป็น 29.11% 3) ขายปลีกทางอินเทอร์เน็ต ลดลงคิดเป็น 26.05% 4) อสังหาริมทรัพย์ ลดลงคิดเป็น 21.50% และ 5) ภัตตาคาร/ร้านอาหาร ลดลงคิดเป็น 12%

 

ทุนญี่ปุ่นยังครองแชมป์ลงทุนไทย 

 

ขณะที่ การลงทุนของชาวต่างชาติครึ่งปีแรกของปี 2568 (มกราคม-มิถุนายน 2568) เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 111,506 ล้านบาท มีจำนวนเพิ่มขึ้นจำนวน 117 ราย (30%) เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 2567 (385 ราย) และมูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้น 30,019 ล้านบาท (37%) เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 2567 (81,487 ล้านบาท) อย่างไรก็ดี ชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทยสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 

 

  1. ญี่ปุ่น 99 ราย คิดเป็น 20% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 43,025 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจการจัดหาจัดซื้อวัตถุดิบ ชิ้นส่วน 
  2. สหรัฐอเมริกา 72 ราย คิดเป็น 14% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 2,797 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจบริการทางวิศวกรรม ธุรกิจค้าปลีกสินค้า เช่น ชิ้นส่วนและอุปกรณ์ตกแต่งยานพาหนะ เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร 
  3. จีน 65 ราย คิดเป็น 13% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 18,336 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจการจัดหาจัดซื้อวัตถุดิบ ชิ้นส่วน 
  4. สิงคโปร์ 63 ราย คิดเป็น 13% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 17,384 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล ภายใต้การกำกับตามที่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงการคลัง, Data Center 
  5. ฮ่องกง 51 ราย คิดเป็น 10% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 8,309 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจบริการศูนย์กระจายสินค้าด้วยระบบที่ทันสมัย Data Center , ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ 

 

สำหรับการลงทุนในพื้นที่ EEC ของนักลงทุนต่างชาติในครึ่งปีแรกของปี 2568 (มกราคม-มิถุนายน 2568) มีนักลงทุนต่างชาติสนใจลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 158 ราย คิดเป็น 31% ของนักลงทุนต่างชาติในไทย เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 จำนวน 42 ราย (36%) มูลค่าการลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 62,851 ล้านบาท คิดเป็น 56% ของเงินลงทุนทั้งหมด เป็นนักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่น 42 มากสุดเช่นกัน  

 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising