กนง.ถกเข้ม ‘ค่าเงินบาท’ ห่วง ‘บาทแข็ง’ เกินปัจจัยพื้นฐาน-นำสกุลภูมิภาค เห็นควรยกระดับติดตามและตรวจสอบธุรกรรมสร้างที่แรงกดดัน
สักกะภพ พันธ์ยานุกูล เลขานุการคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เปิดเผยว่า การแข็งค่าของเงินบาทที่รวดเร็วและค่อนข้างเยอะ เป็นประเด็นที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) พูดคุยค่อนข้างมากในการประชุมรอบนี้
โดยตั้งแต่ต้นปีพบว่า เงินบาทแข็งค่าขึ้นกว่า 8% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ เช่นเดียวกับดัชนีค่าเงินบาท (Nominal Effective Exchange Rate: NEER) ที่แข็งค่าขึ้นกว่า 4%
“กนง. จึงได้ประเมินและเห็นว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทเริ่มมีลักษณะที่ ‘เกินกว่าปัจจัยพื้นฐาน’ มากขึ้น” สักกะภพกล่าว
อย่างไรก็ตาม สักกะภพกล่าวต่อว่า ธปท.ไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยได้ยกระดับการติดตามการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิด รวมถึงพิจารณาแนวทางดำเนินการกับธุรกรรมที่สร้างแรงกดดันต่อค่าเงินบาทอย่างมีนัยสำคัญ แบ่งเป็นมาตรการที่ดำเนินการแล้ว และมาตรการอยู่ระหว่างการดำเนินการ
โดยมาตรการที่ดำเนินการแล้ว ได้แก่ ปรับแนวปฏิบัติและให้ธนาคารพาณิชย์ (ธพ.) เข้มงวดในการตรวจสอบเอกสารก่อนรับทำธุรกรรม FX ที่เกี่ยวข้องกับทองคำ โดยต้องเรียกตรวจหลักฐานทุกธุรกรรม
ส่วนมาตรการอยู่ระหว่างการดำเนินการ ได้แก่ การให้ผู้ค้าทองคำรายใหญ่รายงานข้อมูลการทำธุรกรรมทองคำอย่างละเอียด และการเข้าตรวจสอบธุรกรรมขาย FX เพื่อป้องกันการนำเงินเข้าประเทศที่ไม่พึงประสงค์ หรือไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจปกติ
“ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เข้าดูแลความผันผวนของตลาดเงินอยู่แล้ว และในช่วงที่ผ่านมาได้เข้าดูแลมากกว่าปกติเนื่องจากความผันผวนสูง นอกจากนี้ ธปท. ยังได้ยกระดับการติดตามเรื่องค่าเงินบาท โดยให้ความสำคัญกับการดูแลเงินทุนที่ไหลเข้ามาตั้งแต่จุดเริ่มต้น” สักกะภพกล่าว
สักกะภพระบุอีกว่า เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมากส่วนหนึ่งมาจากปัจจัยภายนอก เช่น การอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐฯ หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ลดดอกเบี้ยลง ท่ามกลางราคาทองคำที่ปรับสูงขึ้นยังเป็นปัจจัยเฉพาะที่ซ้ำเติมให้ค่าเงินบาทมีความผันผวนเพิ่มขึ้น


